3 เรื่องร้อนในมือ ‘กฤษฎีกา’ เดิมพันนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันถือว่ามีสูงมากโดยเฉพาะการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ส่อง 3 เรื่องเศรษฐกิจ ประเด็นร้อนในมือคณะกรรมการกฤษฎีกา สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ปรับปรุงกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร และการวินิจฉัยอำนาจ ก.ก.พ.ชะลอซื้อไฟสะอาด
KEY
POINTS
- บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปัจจุบันถือว่ามีสูงมากโดยเฉพาะการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
- ส่อง 3 เรื่องเศรษฐกิจ ประเด็นร้อนในมือคณะกรรมการกฤษฎีกา
- แก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ปรับปรุงกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร และการวินิจฉัยอำนาจ ก.ก.พ.ชะลอซื้อไฟสะอาด รอการชี้ข้อกฎหมายก่อนเดินหน้าต่อ
บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันมีความสำคัญมากทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ทุกครั้งที่รัฐบาล หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐมีความไม่แน่ใจในข้อกฎหมายจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าเรื่องนั้นๆสามารถทำได้ตามตัวบทกฎหมายหรือไม่ หรือมีความสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย
ที่ผ่านมาในเรื่องเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้ใช้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่บ่อยครั้ง เช่น เรื่องการตีความในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) มาดำเนินการบางส่วน ล่าสุดเรื่องการวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่เป็นแคนดิเดตประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หลายเรื่องที่กฤษฎีกาชี้ว่ามีความเสี่ยงทางกฎหมาย รัฐบาลก็จะไม่เดินหน้าต่อ มีการปรับเปลี่ยนวิธีการหรือดำเนินการใหม่ตามขั้นตอน
ทั้งนี้นอกจากเรื่องที่ผ่านมาแล้วยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล อีกอย่างน้อย 3 เรื่องที่ต้องรอการตรวจสอบ ให้ความเห็น หรือปรับแก้จากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนที่จะดำเนินการต่อไปได้ได้แก่
1.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ซึ่งโครงการนี้จะมีการปรับแก้สัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยที่ประชุมคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เห็นชอบในหลักการแล้วให้มีการแก้ไขสัญญา โดยคาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายใน 1-2 เดือนนี้
จากนั้นจะมีการลงนามในสัญญาและก่อสร้างโครงการได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ โดยขณะนี้ร่างสัญญาอยู่ในการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในกรอบระยะเวลาประมาณ 45 วัน หากร่างกฎหมายไม่มีปัญหาก็จะนำเสนอที่ประชุมบอร์ดอีอีซี ก่อนเสนอ ครม.เห็นชอบในร่างสัญญาตามขั้นตอนต่อไปก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาเพื่อเริ่มการก่อสร้างโครงการต่อไป
2.โครงการสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) โดยเรื่องนี้ขั้นตอนนั้นได้รับความเห็นชอบในหลักการจากที่ประชุม ครม.แล้ว ที่ประชุม ครม.มีมิตให้ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นชอบที่ประชุม ไปปรับแก้ไข รวมทั้งปรับปรุงให้ตรงกับแนวทางที่รัฐบาลเคยเสนอไว้และเสนอกลับมาให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบ ก่อนที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาฯพิจารณา 3 วาระต่อไป
และ 3.การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565 – 2573 ปริมาณรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ให้ความเห็นชอบไว้ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566
ซึ่งปัจจุบันภายหลังจากมีการเบรกการรับซื้อไฟฟ้าในส่วนนี้ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ต้องการให้มีการตรวจสอบการรับซื้อไฟฟ้าก่อนไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง
โดยที่ประชุม กพช.เมื่อปลายเดือน ธ.ค.2567 ซึ่งนายพีระพันธุ์เป็นประธานได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในประเด็นข้อกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของ กพช. และให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช. มีอำนาจพิจารณาแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเรื่องดังกล่าวได้ โดยมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ กกพ. และ 3 การไฟฟ้า ทราบมติ กพช. ต่อไป
จะเห็นว่าทั้ง 3 เรื่องถือว่าเป็นประเด็นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งยังต้องรอดูข้อสรุปจากการชี้ข้อกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจว่าจะเดินหน้าเรื่องเหล่านี้อย่างไรต่อไป