สศก. ถก อาเซียน แก้ปัญหาราคาอาหารผลจากสภาพอากาศเปลี่ยนทำต้นทุนพุ่ง31-59 %

สศก. ถก อาเซียน แก้ปัญหาราคาอาหารผลจากสภาพอากาศเปลี่ยนทำต้นทุนพุ่ง31-59 %

สศก. หารือร่วมAFBAแลกเปลี่ยนมุมมองเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและราคาอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังเส้นทาง Net Zero ปี2050ทำต้นทุนการผลิตอาหารเพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 31 - 59

นางสาวกาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก. ได้เข้าร่วมการประชุมวิชาการASEAN Food and Beverage Alliance’s Paper Launch and Discussion Eventภายใต้หัวข้อ “Climate Change and Food Prices in Southeast Asia”ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน (ASEAN Food and Beverage Alliance: AFBA)

สศก. ถก อาเซียน แก้ปัญหาราคาอาหารผลจากสภาพอากาศเปลี่ยนทำต้นทุนพุ่ง31-59 %

ร่วมกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Oxford Economics เพื่อหารือและให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความมั่นคงทางอาหาร ต้นทุนการผลิต อุปทานอาหาร และเสถียรภาพราคาอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันที่ 10-11 ธันวาคม 2567 ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และผ่านระบบการประชุมทางไกล 

โดยที่ประชุมนอกจากได้มีการแลกเปลี่ยนสถานการณ์ นโยบาย การดำเนินงานในปัจจุบัน และมุมมองด้านอุตสาหกรรมอาหารแล้ว ทางผู้แทนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจOxford Economicsยังได้นำเสนอผลการศึกษา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและราคาอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฉบับปี2024(Climate Change and Food Prices in Southeast Asia:2024Update)

 ล่าสุด เมื่อวันที่ 10มกราคม 2568ผู้แทนจากสมาพันธ์ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน(AFBA)ได้ขอหารือร่วมกับทาง สศก. ในประเด็นข้อค้นพบจากรายงานผลการศึกษา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและราคาอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาวการณ์ของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI)ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

ซึ่ง สศก. โดยกองเศรษฐกิจการเกษตรระหว่างประเทศ และสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรได้ให้การต้อนรับMr. Yogendran Subramaniumผู้แทนจากสมาพันธ์ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน(AFBA)และได้แลกเปลี่ยนมุมมองร่วมกัน

โอกาสนี้ สศก. ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงทางอาหารของไทย ซึ่งปัจจุบันไทยมีเครื่องมือเพื่อประเมินความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร โดยพิจารณาจาก อัตราการพึ่งพาตนเอง(Self-Sufficiency Ratio: SSR)ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงสัดส่วนของปริมาณผลผลิตที่ผลิตได้ในประเทศเทียบกับปริมาณผลผลิตที่ต้องใช้บริโภคภายในประเทศ พบว่า

สศก. ถก อาเซียน แก้ปัญหาราคาอาหารผลจากสภาพอากาศเปลี่ยนทำต้นทุนพุ่ง31-59 %

ในภาพรวมไทยมีอัตราการพึ่งพาตนเองด้านอาหารสูง เนื่องจากสามารถผลิตอาหารได้มากกว่าความต้องการบริโภค รวมถึงมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร อาทิ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่1 (พ.ศ.2566-2570)และปฏิทินผลผลิตสินค้าเกษตรรายเดือน (Monthly Agricultural Crop Calendar)

นอกจากนี้ มีการแลกเปลี่ยนในประเด็นนโยบายและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรเช่น ผลผลิตลดลง ปัญหาด้านโรคพืชและแมลง การเปลี่ยนแปลงฤดูเพาะปลูก เป็นต้น ซึ่งไทยมีมาตรการรองรับในเรื่องดังกล่าว โดยจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2566-2570 และโครงการต่างๆ ภายใต้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อาทิ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การขยายพื้นที่ชลประทานเป็น 40 ล้านไร่ การประกันภัยข้าวนาปี การบริหารจัดการพื้นที่ภายใต้แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map)ตลอดจนการศึกษาวิจัยด้านการเกษตรที่ดำเนินการโดย สศก. อีกด้วย

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าว จัดทำโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจOxford Economicsซึ่งได้ทำการศึกษาสถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยพบว่า หากอุณหภูมิโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารของประเทศเพิ่มขึ้นตามร้อยละ 1 - 2 ยกเว้นฟิลิปปินส์ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงร้อยละ 6 

นอกจากนี้ การเก็บภาษีคาร์บอน การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)ภายในปี 2050 นั้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงและไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนการผลิตอาหารเพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 31 - 59 รวมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลของประเทศอาเซียนในประเด็นการลดข้อจำกัดด้านการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนFDIจากนักลงทุนต่างชาติ และการผลักดันการลงทุนเกษตรกรรมอัจฉริยะด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture: CSA)

“ที่ผ่านมา สศก.ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนกลไกด้านความมั่นคงทางอาหารของอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านAPTERR (ASEANPlus Three Emergency Rice Reserve)ในฐานะหน่วยงานหลักของไทย มีเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นผู้แทนไทยในคณะมนตรีAPTERRรวมถึงได้สนับสนุนสถานที่ตั้งสำนักเลขานุการ บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย อาทิ เหตุพายุนาร์กีส (ปี 2553) พายุไห่เยี่ยน (ปี 2557) และสนับสนุนเงินทุนดำเนินงานของAPTERRปีละ 8,000 ดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2556จนถึงปัจจุบัน

รวมถึงเป็นหน่วยงานบริหารจัดการและดำเนินโครงการAFSIS (ASEAN Food Security Information System) (โดยการสนับสนุนจากประเทศบวกสาม) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของประเทศสมาชิกASEAN+3 ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลความมั่นคงด้านอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียน และสนับสนุนระบบข้อมูลความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาค รวมถึงผลักดันให้AFSISเป็นกลไกที่มีความยั่งยืนในระยะยาว”