“วัยรุ่น”ห่วง“เศรษฐกิจแย่”มากกว่าสงคราม รายงานความเสี่ยงโลกปี68 ระบุ

รายงานความเสี่ยงระดับโลกครั้งที่ 20 ของสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) (Global Risks Report 2025) ซึ่งเผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้ ระบุถึง ภูมิทัศน์ระดับโลกที่แตกแยกมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนคุกคามเสถียรภาพและความก้าวหน้าของโลก
"แม้ว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจะมีความสำคัญน้อยลงในผลการสำรวจของปีนี้ แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกับความตึงเครียดทางสังคมและภูมิรัฐศาสตร์ จนทำให้ความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างประเทศกลายมาเป็นความเสี่ยงระดับโลกที่เร่งด่วนที่สุดของปี 2568 โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบหนึ่งในสี่จัดให้เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ ปัจจัยความเสี่ยงด้าน“ข้อมูลที่ผิดพลาดและข้อมูลบิดเบือน”ยังคงเป็นความเสี่ยงในระยะสั้นแต่ก็เป็นความกังวลในลำดับต้นๆ เป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยเน้นย้ำถึงภัยคุกคามต่อความสามัคคีและการปกครองในสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยทำลายความไว้วางใจและทำให้ความแตกแยกภายในและระหว่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้น ความเสี่ยงในระยะสั้นอื่นๆ ได้แก่ เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว การแบ่งขั้วทางสังคม การจารกรรมทางไซเบอร์ และการทำสงคราม
สำหรับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลเหนือแนวโน้มในระยะยาว โดยเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้าย การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของระบบโลกและการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของการจัดอันดับความเสี่ยง 10 ปี
ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ปัญหาเรื่อง มลภาวะมาเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาคือ ความกังวลต่อผลกระทบสุขภาพและระบบนิเวศที่เลวร้าย ทั้งน้ำ อากาศ และดิน
“เหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายถูกระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นความเสี่ยงในทันที ระยะสั้น และระยะยาว ภูมิทัศน์ในระยะยาวยังคลุมเครือด้วยความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ผิดพลาด ข้อมูลที่บิดเบือน และผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI”
Mirek Dušek กรรมการผู้จัดการสภาเศรษฐกิจโลก กล่าวว่า ความกังวลที่เป็นปัจจุบันที่สุดคือ เรื่องของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นและมองว่าความแตกแยกจะเป็นแรงพลักดันให้โลกตกอยู่ในความเสี่ยง และความไว้วางใจที่แตกแยกเป็นแรงผลักดันภูมิทัศน์ความเสี่ยงระดับโลก
“ในบริบทที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้ ผู้นำมีทางเลือกสองทาง คือ หาวิธีส่งเสริมความร่วมมือและความยืดหยุ่น หรือเผชิญกับความเสี่ยงที่ทวีคูณ”
รายงานระบุอีกว่า ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบ 1 ใน 4 หรือ 23% เลือกความขัดแย้งทางอาวุธในระดับรัฐ (สงครามตัวแทน สงครามกลางเมือง การรัฐประหาร การก่อการร้าย ฯลฯ) เป็นความเสี่ยงสูงสุดสำหรับปี2568 หากเทียบกับปีที่ผ่านมา ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์แต่มุมมองความขัดเเย้งจะเป็นแค่เรื่อง การคว้ำบาตร ภาษีศุลกากร และการคัดกรอบการลงทุน และอยุ่ในลำดับที่ 8 เท่านั้น
ขณะเดียวกัน เรื่องความไม่เท่าเทียม การแบ่งขั้วทางสังคม และปัจจัยอื่นๆ รวมถึงเรื่องความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วซึ่งเป็นความกังวลลำดับที่ 3 ในปีนี้และปีหน้า ซึ่งที่สอดคล้องกับแนวโน้มความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ความกังวลที่ชัดเจนขึ้นทุกปีๆ โดยปี 2568 เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่ 14%
มลพิษจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ทำให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น คลื่นความร้อนในบางส่วนของเอเชีย น้ำท่วมในบราซิล อินโดนีเซีย และบางส่วนของยุโรป ไฟป่าในแคนาดา และพายุเฮอริเคนเฮเลนและมิลตันในสหรัฐ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงไม่นานมานี้
รายงานยักล่าวถึง ปัจจัยเสี่ยงลำดับต้นๆ อีกเรื่องคือ “ข้อมูลที่ผิดพลาดและข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งอยู่ลำดับที่ 4 และการแบ่งขั้วทางสังคม ซึ่งอยู่ลำดับที่ 5” ไม่น่าแปลกใจที่การจัดอันดับของความเสี่ยงทั้งสองนี้อยู่ในลำดับต้นๆ เพราะ การแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิเดพลาดได้สร้างความเข้าใจผิดและส่งผลเลวร้ายต่างๆตามมา
ขณะที่ปัจจัยการแบ่งขั้วทางสังคม ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามสัดส่วน 6% และส่วนการขาดโอกาสทางเศรษบกิจหรือการว่างงาน ลงมาอยู่ลำดับรองๆลงมา โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามสัดส่วน 3% สิทธิมนุษยชนและ/หรือเสรีภาพของพลเมือง สัดส่วน 2% และความไม่เท่าเทียม สัดส่วน 2%
รายงานเล่าถึงปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า แม้อัตราเงินเฟ้อปี2568 ไม่น่ากังวลเท่าปี 2567 แต่เรื่องเศรษฐกิจไม่เคยหายไปจากความกังวลของผู้คนในทุกๆปีที่ทำการสำรวจ โดยปีนี้ มุมมองต่อเศรษฐกิจก็ยังเป็นเรื่องของ“ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” ซึ่งรวมถึงภาวะถดถอย และ ภาวะเศรษฐกิจซบเซา แต่มีข้อสังเกตว่าในแต่ละช่วงอายุมีข้อมกังวลเรื่องนี้ที่แตกต่างกัน
โดย ความเสี่ยงที่รับรู้ได้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั้นมีอยู่สูงในกลุ่มคนอายุน้อย ในกลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่เลือกปัญหาเศรษฐกิจเป็นความเสี่ยงลำดับที่ 3 ขณะที่กลุ่มอายุ 30-39 ปี เลือกไว้ในอันดับที่ 4 และ ในกลุ่มอายุ 40-49 ปี เลือกไว้ที่ อันดับ 5 โดยรายงานพบว่า กลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ไม่ได้มองเศรษฐกิจเป็นความเสี่ยงเลย โดยไม่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกด้วยซ้ำ