"ดีมานด์ดิจิทัล-ผลผลิตเกษตรดี"ส่งออก20สินค้าฝ่าปัจจัยเสี่ยงโตเด่นปี68

"ดีมานด์ดิจิทัล-ผลผลิตเกษตรดี"ส่งออก20สินค้าฝ่าปัจจัยเสี่ยงโตเด่นปี68

ประเทศไทยมีรายได้จากภาคการส่งออก สัดส่วนถึง 70% เท่ากับว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังผูกกับเศรษฐกิจของโลก ซึ่งในปี 2568 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คาดว่าการเติบโตของ GDP ทั่วโลก

ไว้ในรายงาน “OECD ECONOMIC OUTLOOK, VOLUME 2024”  ว่า จะอยู่ที่ 3.2% ในปี2567 และ เติบโตที่ 3.3% ในปี 2568 และ ปี 2569ในอัตราเท่ากัน

“การลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลงคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาวะเงินฝืดอาจยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลก” 

      พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2568 การส่งออกยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการแบ่งขั้วทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ปริมาณการค้าที่ขยายตัวลดลงจากการใช้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวน

สนค. ได้วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกรายสินค้าด้วยอนุกรมเวลา (Time Series Model) พิจารณาควบคู่กับอัตราการเปลี่ยนแปลงหน่วยย่อยต่อภาพรวม (Contribution to growth) และสถานการณ์ที่จะกระทบต่อการค้าในอนาคต โดยสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี 10 อันดับในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและ 10 อันดับในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ของปี 2568 มีดังนี้

สำหรับ 10 สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมดาวรุ่งในปี 2568 ได้แก่ 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน 2. อัญมณีและเครื่องประดับ 3.ผลิตภัณฑ์ยาง4. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 5.หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 6.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 7.เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์ 8.แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า 9.เคมีภัณฑ์ และ 10.แผงวงจรไฟฟ้า

“ฟื้นตัวตามวัฎจักร ความเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี AI อุปกรณ์อัจฉริยะที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น และความต้องการของภาคการผลิตที่เร่งตัวก่อนการดำเนินมาตรการทางการค้า” 

นอกจากนี้ยังมีสินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการปรับโครงสร้างการผลิตของไทย เช่น Data Center การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น แผ่นเวเฟอร์ (Wafer) หรือแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้า

อย่างไรก็ดี ในปี 2568 ไทยมีกลุ่มสินค้าที่ต้องเฝ้าระวังเนื่องจากคาดว่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทั้งไทยและจีน

ส่งออกไปยังสหรัฐเหมือนกัน อีกทั้งเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง 

ส่วน10 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรดาวรุ่งในปี 2568 ได้แก่ 1.ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 2. อาหารสัตว์เลี้ยง 3.อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 4.ไก่แปรรูป 5.ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ 6.ยางพารา 7.ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง 8.ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง 9.เนื้อและส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ที่บริโภคได้ และ 10นมและผลิตภัณฑ์นม

“สินค้ากลุ่มนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ตามความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เติบโตสอดรับการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณผลผลิตการเกษตรจะออกมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้าและทยอยเข้าสู่ระดับปกติทำให้การแข่งขันด้านราคา”

สำหรับสินค้าเกษตรที่เป็น raw material แข่งขันรุนแรงขึ้น และการยกเลิกมาตรการระงับการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศ

ผู้ส่งออกสำคัญของโลก ด้วยเหตุนี้ไทยจึงต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเนื่องจากประเทศคู่แข่งมีผลผลิตและต้นทุนต่อไร่ที่ถูกกว่า อีกทั้งประเทศคู่ค้าบางประเทศมีมาตรการทางการค้าที่เข้มงวด โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ส่งออกของไทยต้องปรับตัวและบริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

       “แม้ว่าในปี2568 จะมีปัจจัยท้าทายหลายอย่าง แต่จะบรรลุตามเป้าการส่งออกที่ขยายตัว 2-3% เป็นมูลค่าระหว่าง 305,315 – 308,308 ล้านดอลลาร์”

     อย่างไรก็ตาม OECD ได้ระบุถึงเศรษฐกิจของไทยว่า จะ คาดว่าการเติบโตจาก 2.7% ในปี 2567  เป็น 3.1% ในปี 2568  หลักๆมาจากปัจจัยการบริโภคในประเทศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอานิสงค์นโยบายแจกเงินสด และอัตราเงินเฟ้อต่ำ

ทั้งนี้ ประเทศไทยและพื้นที่เศรษฐกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงได้แก่  ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของนโยบายมีความรุนแรงมากขึ้น โดยความรุนแรงของความขัดแย้งที่เปลี่ยนแปลงไปในตะวันออกกลางหรือสงครามรุกรานของรัสเซียในยูเครนอาจนำไปสู่ผลกระทบและก่อกวนตลาดพลังงานโลก 

“แม้ว่าตลาดน้ำมันโลกดูเหมือนว่าจะมีอุปทานเพียงพอในปัจจุบัน แต่ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอาจทำให้สมดุลของตลาดตึงตัวขึ้นและทำให้ผู้ลงทุนต้องประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกใหม่”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการกีดกันการค้าที่มากขึ้น โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด  เช่น มาตรการจำกัดการนำเข้าในกลุ่มประเทศ G20 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (WTO, 2024) คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าของกลุ่ม G20 ถึง 12.7% ซึ่งมากกว่ามาตรการดังกล่าวในปี 2558 ถึง 3 เท่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ปัจจัยการปฏิรูปนโยบายการลงทุนเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน (OECD, 2024d) ซึ่งสร้างอุปสรรคต่อการลงทุนข้ามพรมแดน 

ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นและมาตรการจำกัดการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ต้นทุนและราคาสูงขึ้น ขัดขวางการลงทุน ทำให้นวัตกรรมอ่อนแอลง และท้ายที่สุดก็ทำให้การเติบโตลดลง ความพยายามด้านนโยบายที่เข้มข้นขึ้นเพื่อแยกเศรษฐกิจออกจากกัน รวมถึงการใช้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะทำให้การเติบโตของผลผลิตทั่วโลกล่าช้าลงในระยะยาว และเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่สามารถใช้ประโยชน์จากการค้าได้น้อยลงซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย 

\"ดีมานด์ดิจิทัล-ผลผลิตเกษตรดี\"ส่งออก20สินค้าฝ่าปัจจัยเสี่ยงโตเด่นปี68