“ความเค็ม”รุกตัวเร็วเร่งระบายน้ำไล่ ส่งสัญญาณเกษตรกรเตรียมแผนสำรอง

“ความเค็ม”รุกตัวเร็วเร่งระบายน้ำไล่  ส่งสัญญาณเกษตรกรเตรียมแผนสำรอง

ในการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานชลประทานที่ 1-17 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีปกรณ์ สุตสุนทร ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาอุทกวิทยา กรมชลประทานเป็นประธาน

เพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำ และแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ สำหรับเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องและเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ต่อไป

 ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 11-21 ม.ค. 2568 ต้องเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ที่อาจจะส่งผลให้ระดับในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นและอาจไหลเข้าท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร(แนวฟันหลอ) นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังน้ำเค็มรุกล้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม

รายงานข่าวจากกรมชลประทานระบุว่า ในช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานชลประทานที่ 9 ได้เฝ้าระวังค่าความเค็มในแม่น้ำบางปะกง พบว่าค่าความเค็มรุกตัวเร็วกว่าปกติ โดยค่าความเค็ม 1 กรัมต่อลิตร รุกตัวถึงจุดเฝ้าระวังบริเวณโครงการชลประทานฉะเชิงเทรา อ.บ้านโพธิ์ (ระยะทาง 35 กิโลเมตรจากปากแม่น้ำ) ตั้งแต่กลางเดือนพ.ย.ปี 2567ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงครึ่งเดือน

“ได้ปรับแผนตามความเหมาะสมของสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการควบคุมเขื่อนบางปะกง ตามแผนที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการลุ่มบางปะกงแล้ว โดยในระยะแรกใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำ 4 แห่งทางตอนบน ระบายน้ำลงมาไล่ความเค็ม” 

โดยกำหนดแนวทางดำเนินการ ดังนี้อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ตั้งแต่วันที่ 1 - 15 ธ.ค. 2567 ในอัตราวันละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) อ่างเก็บน้ำคลองสียัดและอ่างเก็บน้ำคลองระบม ตั้งแต่วันที่ 5 - 19 ธ.ค. 2567 ในอัตราวันละ 2 ล้าน ลบ.ม. และอ่างเก็บน้ำขุนด่านปราการชล ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. 2567 - 13 ม.ค. 2568 ในอัตราวันละ 1 ล้าน ลบ.ม.

ส่งผลให้สามารถควบคุมค่าความเค็ม ในบริเวณจุดควบคุมต่างๆ ตามช่วงเวลาที่กำหนด ได้แก่ จุดควบคุมที่ 1 เขื่อนบางปะกง (ระยะทาง 66 กิโลเมตร จากปากแม่น้ำ) สามารถชะลอความเค็มให้รุกตัวช้าลง ซึ่งจุดนี้มีบางช่วงเวลาที่ค่าความเค็มต่ำกว่า 1 กรัมต่อลิตร ทำให้พื้นที่เหนือน้ำสามารถรับน้ำเข้าพื้นที่ได้ตามการขึ้นลงของน้ำทะเล จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567

ส่วนจุดควบคุมที่ 2 บริเวณปลายคลองบางขนาก (ระยะทาง 109 กิโลเมตร จากปากแม่น้ำ) สามารถควบคุมค่าความเค็มไม่ให้รุกตัวถึงจุดนี้ก่อนวันที่ 10 ม.ค. 2568 ทำให้พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกข้าวบริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำบางปะกงในเขตอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอคลองเขื่อน และอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา สามารถใช้น้ำเพาะปลูกได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ

ด้านจุดควบคุมที่ 3 บริเวณวัดบางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี (ระยะทาง 115 กิโลเมตร จากปากแม่น้ำ) มีแผนควบคุมค่าความเค็มถึงวันที่ 1 ก.พ. 2568 ซึ่งค่าความเค็มสูงสุดวันนี้ (13 ม.ค. 2568) วัดได้ 0.8 กรัมต่อลิตร (ควบคุมไม่ให้เกิน 1 กรัมต่อลิตร) และมีแนวโน้มสูงขึ้นตามช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูงสุดในวันที่ 13-15 ม.ค. 2568 (ตามคาดการณ์ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ)

ทั้งนี้ สำนักงานชลประทานที่ 9ได้วางแผนรับมือด้วยการปรับเพิ่มการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ในช่วงวันที่ 5-9 ม.ค. 2568 เป็น 1.5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน(เดิมระบาย 0.6 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน) คาดว่าจะช่วยป้องกันความเค็มรุกได้จนถึงในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงสุด แต่หากจุดควบคุมที่ 3 ไม่สามารถควบคุมความเค็มได้จนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2568 ได้วางแผนสำรองให้โครงการชลประทานปราจีนบุรี แจ้งเตือนเกษตรกรและหน่วยงานท้องถิ่น สร้างทำนบชั่วคราวเพื่อกักน้ำและกันน้ำเค็มจากแม่น้ำปราจีนบุรีเข้าพื้นที่ต่อไป

ด้านแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการขุดลอกพื้นที่กักเก็บน้ำณ บริเวณประตูดำ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดนครสวรรค์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ พบว่าการรับน้ำในพื้นที่ภาคเหนือมีเขื่อนขนาดใหญ่ รวมถึงใช้แก้มลิงและพื้นที่รับน้ำทางธรรมชาติ เพื่อบริหารจัดการน้ำจากพื้นที่ด้านบน ก่อนจะไหลลงมาสู่พื้นที่ชั้นใน โดยมีจุดรับน้ำหลักประมาณ 8 แห่ง เช่น บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ โดยในช่วงฤดูฝน บึงบอระเพ็ดจะเป็นพื้นที่รับน้ำจากทุ่งด้านบน ในเขตอำเภอไพศาลี อำเภอท่าตะโก และยังช่วยชะลอน้ำหลากที่จะไหลไปสมทบกับแม่น้ำน่าน แต่หากระดับน้ำในแม่น้ำน่านมีระดับสูงก็จะเปิดประตูระบายน้ำ (ประตูดำ) เพื่อช่วยระบายน้ำและลดอุทกภัยในพื้นที่

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำฯ กรมชลประทานได้เตรียมดำเนินการขุดลอกพื้นที่กักเก็บน้ำพื้นที่ประตูดำ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดนครสวรรค์เพื่อบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้ง ปี 2567/2568 โดยกรมชลประทานได้ตั้งงบประมาณในการขุดลอกกว่า 2,000 ล้านบาท

     สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ ปัจจุบัน(13 ม.ค. 2568) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 58,847 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น77% ของความจุอ่างฯรวมกัน มีน้ำใช้การได้ประมาณ 34,906 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลัก แหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 19,489 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 78% ของความจุอ่างฯ รวมกัน มีน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 12,793 ล้าน ลบ.ม.

     โดยกรมชลประทาน ได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานปฏิบัติตาม 8 มาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 ที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมจัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ รวมไปถึงการกำจัดวัชพืชสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ รวมทั้งรักษาระดับน้ำใต้ดินในป่าพรุทางภาคคใต้ให้สมดุล เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยในพื้นที่ในช่วงฤดูแล้งนี้

“ความเค็ม”รุกตัวเร็วเร่งระบายน้ำไล่  ส่งสัญญาณเกษตรกรเตรียมแผนสำรอง