เปิดภารกิจ 'กุลยา ตันติเตมิท' นั่งอธิบดีสรรพสามิตคนที่ 37 ขับเคลื่อนเป้า ESG

“กุลยา ตันติเตมิท” นั่งอธิบดีกรมสรรพสามิตคนที่ 37 กับภารกิจท้าทาย จัดเก็บภาษีสรรพสามิตเข้าเป้า 6 แสนล้าน พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐ และเป้าหมาย ESG เล็งปี 68 เตรียมผลักดันภาษีสรรพสามิตตัวใหม่ ได้แก่ ภาษีแบตเตอรี่, ภาษีคาร์บอน, ภาษีโซเดียม
KEY
POINTS
- “กุลยา ตันติเตมิท” นั่งอธิบดีกรมสรรพสามิตคนที่ 37
- ภารกิจท้าทาย จัดเก็บภาษีสรรพสามิตเข้าเป้า 6 แสนล้าน พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐ และเป้าหมาย ESG
- ปี 68 เตรียมผลักดันภาษีสรรพสามิตตัวใหม่ ได้แก่ ภาษีแบตเตอรี่, ภาษีคาร์บอน, ภาษีโซเดียม
กรมสรรพสามิตเป็นกรมภาษีที่มีบทบาทสำคัญในการจัดเก็บรายได้ให้แก่รัฐเป็นอันดับ 2 รองจากกรมสรรพากร โดยมีขนาดการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ประมาณปีละ 5-6 แสนล้านบาท ซึ่งภาษีสรรพสามิตยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมของประชาชนผ่านกลไกทางภาษี และสนับสนุนการเดินหน้านโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์
โดยในปี 2568 ภายใต้การนำของ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีคนที่ 37 กับภารกิจสำคัญของกรมสรรพสามิตที่ไม่ได้มีเพียงการจัดเก็บภาษีให้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังรวมถึงการผลักดันนโยบายที่ตอบสนองต่อความท้ายทายของโลกยุคใหม่ เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
ซึ่งตอกย้ำทิศทางการดำเนินงานของกรมสรรพสามิตที่ยังคงมุ่งเน้นในการดำเนินนโยบายด้าน ESG (Environment, Social and Governance) อย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และปรับปรุงการทำงานให้เป็นองค์กรที่ทันสมัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพสามิตให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
”สรรพสามิตเตรียมพร้อมในการบูรณาการด้านนโยบาย กฎหมาย พัฒนาบุคลากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนและความสมดุลระหว่างรายได้และการเติบโตเศรษฐกิจ ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย“
นางสาวกุลยา กล่าวต่อว่า การดำเนินนโยบายด้าน สิ่งแวดล้อมและสังคม (Environment and Social) จะเน้นการขยายฐานภาษี เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านพฤติกรรมไปสู่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น การจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) การปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ การปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ เพื่อรองรับมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมอุตสาหกรรมสุราชุมชน และการจัดเก็บภาษีโซเดียม เป็นต้น
และในด้านธรรมาภิบาล (Governance) จะมุ่งเน้นการปรับกระบวนการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตทั้งด้านการบริหาร การจัดเก็บภาษี การปราบปราม และการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ตลอดจนการบูรณาการความร่วมมือและสื่อสารกับภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับร่วมกัน
ขับเคลื่อนภาษีใหม่
นางสาวกุลยา กล่าวว่า ในด้านนโยบายภาษีจะใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืน โดยการรักษาสมดุลระหว่างรายได้และผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ได้แก่
ภาษีรถยนต์ จะมีการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility) ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี EV, PHEV, HEV และไฮโดรเจน ตามนโยบายที่รัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ภาษีแบตเตอรี่ จะมีการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่จำเป็นต้องมีการใช้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาอัตราภาษีตามเกณฑ์ ดังนี้ ค่าความหนาแน่นพลังงาน (Energy Density) หรือประจุไฟฟ้าต่อน้ำหนัก คือ แบตเตอรี่ที่ประจุไฟฟ้าสูงยิ่งมีน้ำหนักเบาจะยิ่งมีอัตราภาษีต่ำ และ รอบการอัดประจุไฟฟ้า (Lifecycle) ยิ่งแบตเตอรี่มีรอบการชาร์จมากก็จะมีอัตราภาษีต่ำ
ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) จะเป็นการเพิ่มกลไกราคาคาร์บอนภายในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จากการคำนวณค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับราคาคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมโดยเน้นย้ำว่าการเพิ่มกลไกดังกล่าวจะไม่กระทบต่อภาระภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน
ภาษีโซเดียม อยู่ระหว่างการศึกษาประเภทสินค้าสำเร็จรูป และการกำหนดเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บ โดยนำร่องขนมขบเขี้ยว ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่มีจำเป็นในการดำรงชีวิตและมีปริมาณโซเดียมสูง โดยจะเป็นอัตราภาษีแบบขั้นบันไดเพื่อให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว โดยจะเป็นภาษีที่ต้องการมุ่งเน้นด้านสุขภาพประชาชนเป็นหลัก
นอกจากนี้ ในด้านนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษีกรมสรรพสามิต อยู่ในระหว่างดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ประกอบด้วย
การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กลไกอัตราตามมูลค่า ซึ่งฐานภาษีสำหรับอัตราตามมูลค่าในปัจจุบัน คือ “ราคาขายปลีกแนะนำ”
โดยการกำหนดหลักเกณฑ์การแจ้งราคาขายปลีกแนะนำให้เข้มงวดและรัดกุม การกำหนดหลักเกณฑ์การสำรวจและการจัดเก็บข้อมูลเพื่อพิจารณาฐานนิยม การปรับปรุงฐานข้อมูลด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย การกำหนดขั้นตอนการพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำให้ชัดเจน และใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ตลอดจนการกำหนดราคาของกลางเพื่อใช้กระบวนการคำนวณเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
เล็งปรับลดเป้าหมายรายได้
นางสาวกุลยา กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2567 กรมสรรพสามิตมีเป้าหมายจัดเก็บรายได้ตามเอกสารงบประมาณที่ 609,000 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่มีความท้าทายมาก ทั้งยังเป็นการตั้งเป้าหมายจากฐานการคาดการณ์ที่ไม่มีการลดภาษีตามนโยบายของรัฐบาล จึงทำให้สามารถจัดเก็บรายได้จริงที่ 536,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตมีแนวโน้มลดลงจากปัจจัยสำคัญ คือ การสนับสนุนภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่อัตราภาษีต่ำกว่า อีกทั้งตลาดรถยนต์ยังมีความกังวลที่อาจไม่ขยายตัวอย่างโดดเด่นนัก ดังนั้นในปีงบประมาณ 2568 สรรพสามิตจะมีการหารือภายในร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อพิจารณาเป้าหมายใหม่
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 อันดับ 1 คือภาษีน้ำมัน คาดว่าอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็นภาษีรถยนต์ 1.5 หมื่นล้านบาท จากนั้นเป็นเบียร์ สุรา และยาสูบ







