พาณิชย์ เผย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก

พาณิชย์ เผย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก

สนค.เผยผลวิเคราะห์นโยบายทรัมป์ 2.0 เก็บภาษีนำเข้า ดันต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่ง เกิดความผันผวนอัตราค่าระวางสินค้า เกิดการย้ายฐานผลิตจากจีนไปยังภูมิภาคอื่นๆ แนะไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสปรับกลยุทธ์รับการย้ายฐานผลิต ด้านSCB EIC ประเมิน ส่งออกไทยกระทบครึ่งปีหลัง

KEY

POINTS

Key Point

  • นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศว่า จะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนระหว่าง 60-100 % และจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ 10-20 %
  • การเก็บภาษีใหม่จะทำให้เกิดความผันผวนของอัตราค่าระวางสินค้า
  • ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน  อาจส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังภูมิภาคอื่นๆ
  • SCB EIC ประเมินว่าประเทศไทยเสี่ยงสูงที่จะเจอนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจาก Trump 2.0

สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์  เผยแพร่รายงานผลกระทบต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ภายหลังชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งทรัมป์ประกาศว่า จะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนระหว่าง 60-100 % และจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ 10-20 % ประเมินว่า ผู้ผลิตในต่างประเทศและผู้ประกอบการค้าปลีกในสหรัฐที่นำเข้าสินค้าพื้นฐานต่างๆจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่การนำเข้าสินค้าสูงขึ้น

นอกจากนี้การเก็บภาษีใหม่จะทำให้เกิดความผันผวนของอัตราค่าระวางสินค้า จากพฤติกรรมการเร่งส่งสินค้า (front-loading ) เนื่องจากผู้ประกอบการจะเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อกักตุน ก่อนที่ภาษีจะมีเริ่มมีผลและค่าระวางจะผันผวน ซึ่งกระแสนี้เคยเกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทำให้อัตราค่าระวางเพิ่มขึ้นมากกว่า 70 % ทั้งนี้การหยุดชะงักของการขนส่งในทะเลแดงที่ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2567 อาจจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราค่าระวางขนส่งมากยิ่งขึ้น

รายงานของสนค.ระบุอีกว่า การขึ้นภาษีนำเข้าจะทำให้มีการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งการขึ้นภาษีศุลกากรโดยเฉพาะกับจีน อาจสร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรรมต่างๆของสหรัฐที่ต้องพึ่งพาการผลิตในต่างประเทศ อาทิ บริษัท Apple เนื่องจากบริษัทยังคงพึ่งพาจีนในการเป็นฐานการผลิตเป็นส่วนใหญ่ในห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้การยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีนอาจบีบบังคับให้บริษัทต่างๆต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังภูมิภาคอื่นๆเช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโกหรืออินเดีย การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนให้เกิดความท้าทายด้านโลจิสติกส์ เช่น วามล่าช้าจาการตั้งฐานการผลิตใหม่ ตลอดจนต้นทุนการดำเนินการที่สูงขึ้น บริษัทต่างๆจึงต้องมีความยึดหยุ่นในการปรับตัว

พาณิชย์ เผย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก

ในด้านพลังงานนั้น สหรัฐน่าจะมีนโยบายสนับสนุนพลังงานฟอสซิล (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ) โดยจะเลือกพลังงานที่ต้นทุนต่ำกว่าพลังงานสะอาด รวมทั้งมีแผนยกเลิกเงินอุดหนุนโครงการพลังงานหมุนเวียน ทำให้การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนลดลง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนพลังงาน ราคาน้ำมัน อาจมีราคาถูกลง

ในขณะที่การใช้พลังงานสะอาดอื่นๆเช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV)อาจมีความกดดันด้านต้นทุน และต้องแข่งขันเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของระบบโลจิสติกส์

ทั้งนี้สนค.ได้เสนอแนะแนวทางการปรับตัวของไทยที่ได้รับผลกระทบจากการที่นายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โดยไทยต้องกำหนดกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของไทยในภูมิภาคและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เช่น การจัดสรรและพัฒนาที่ดินให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และออกมาตรการรองรับ Global Minimum Tax  ซึ่งจำเป็นต้องออกกฏหมายให้ทันกับการบังคับใช้ในปี 2568

ทั้งในส่วนของการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำและมาตรการด้านสิทธิประโยชน์ เนื่องจากไทยอาจได้ประโยชน์จากการที่จีนและประเทศที่ลงทุนในจีนมองหาแหล่งลงทุนหรือฐานการผลิตทดแทนจีน เพื่อส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ และเตรียมมาตรการรับมือกับการหลั่งไหลของสินค้าจีนเนื่องจากนี้อาจหันมาใช้ประโยชน์จากความตกการค้าเสรีหรือเอฟทีเอที่จีนมีกับประเทศต่างในเอเชีย เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า และหากตลาดกระจายสินค้าและขยายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชีย

พาณิชย์ เผย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก

รวมทั้งการอำนวยความสะดวกการค้าและระบบโลจิสติกส์ที่รองรับในกรณีการย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงและหลากหลาย พิธีการศุลกากร ฐานข้อมูล ความพร้อมของการท่าเรือและการถ่ายลำ และให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยใช้โอกาสนี้ขยายธุรกิจในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าว

พาณิชย์ เผย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก                                                               ที่มา : SCB EIC

 

ด้านการส่งออก  SCB EIC ประเมินผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ต่อการส่งออกของไทยว่า การส่งออกของไทยขยายตัวดีในช่วงท้ายปี 2024 และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปช่วงต้นปี 2025

ในระยะต่อไปจะเริ่มเจอแรงกดดันจากนโยบายกีดกันการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ที่มาตรการกีดกันการค้าประเทศต่าง ๆ นอกจากจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยประเมินว่าประเทศไทยเสี่ยงสูงที่จะเจอนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจาก Trump 2.0 เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบผ่านช่องทางการค้าเป็นหลัก