อุตฯ การบินปรับรับ 'ขนส่งสีเขียว' ประกาศปี 69 ใช้น้ำมัน SAF1%

อุตฯ การบินปรับรับ 'ขนส่งสีเขียว' ประกาศปี 69 ใช้น้ำมัน SAF1%

อุตสาหกรรมการบินประกาศเดินหน้าสู่ "ขนส่งสีเขียว" กพท.ขับเคลื่อนผ่าน 4 เสาหลัก ดึงเทคโนโลยีด้านการบิน บริหารห้วงอากาศ พร้อมนำร่องปี 2569 เริ่มใช้น้ำมัน SAF1% ขณะที่สายการบินตอบรับ ลั่นลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สายการบินต้องปรับตัว

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรมการบินประกาศเดินหน้าสู่ "ขนส่งสีเขียว" กพท.ขับเคลื่อนผ่าน 4 เสาหลัก ดึงเทคโนโลยีด้านการบิน บริหารห้วงอากาศ พร้อมนำร่องปี 2569 เริ่มใช้น้ำมัน SAF1%
  • ขณะที่สายการบินตอบรับ ลั่นการนำ SAF มาใช้เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมการบิน ถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สายการบินต้องปรับตัว พร้อมสนับสนุนเพื่อให้เกิดธุรกิจที่ยั่งยืน

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศทำแผนแม่บทขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทย สู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ปัจจุบันเริ่มจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์การบินหว่างประเทศ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 (ค.ศ.2050)

สุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กพท.ได้ทำแผนแม่บทขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยจะเดินหน้าผ่าน 4 เสาหลัก ประกอบด้วย

1.พัฒนาเทคโนโลยีด้านการบินเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด เครื่องยนต์ต้องประหยัดน้ำมัน

2.บริหารจัดการห้วงอากาศให้มีประสิทธิภาพ เกิดความคล่องตัว ใช้พลังงานน้อย

3. สนับสนุนสายการบินใช้ SAF ซึ่งประเด็นนี้คงต้องรอภาครัฐกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนผู้ผลิตน้ำมันด้วย

4.มาตรการตลาด ที่จะเข้ามาชดเชยผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ ปัจจุบัน กพท.อยู่ระหว่างทำกฎระเบียบข้อบังคับที่จะใช้ในอุตสาหกรรมการบินเพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จมีผลบังคับใช้ในปี 2569 โดยอุตสาหกรรมการบินจะขับเคลื่อนผ่านการนำเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืน (SAF) มาใช้ในธุรกิจการบิน ซึ่งระยะแรกจะกำหนดให้สายการบินใช้น้ำมัน SAF 1% ในปี 2569 และหลังจากนั้นจะเพิ่มสัดส่วนอย่างต่อเนื่องในปี 2570 เป็น 2% และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับ 3-5% ในปีถัดไป

โดยเป้าหมายเหล่านี้อุตสาหกรรมการบินต้องทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานที่จะเป็นผู้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนด้านพลังงานสะอาด สัดส่วนการผลิตเชื้อเพลิง SAF ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดต้นทุนแก่ผู้ประกอบการด้านการบิน เพราะการขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องดูความพร้อมที่ผู้ผลิต ความพร้อมในด้านซัพพลายการผลิตน้ำมัน SAF

อย่างไรก็ดีการใช้ SAF นับเป็นก้าวสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะจากการจัดเก็บข้อมูลพบว่าภาพรวมอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2-2.5% ของโลก จากการเติบโตของปริมาณเที่ยวบิน

อุตฯ การบินปรับรับ 'ขนส่งสีเขียว' ประกาศปี 69 ใช้น้ำมัน SAF1%

ทั้งนี้ กพท.มองว่าการผลิตน้ำมัน SAF ที่จะใช้ในประเทศไทย มีความเป็นไปได้จากวัตถุดิบยั่งยืน อาทิ น้ำมันใช้แล้ว และขยะชีวมวล ซึ่งเชื้อเพลิงธรรมชาติเหล่านี้เมื่อถูกกระบวนการเผาไหม้ พบว่าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเชื้อเพลิงปิโตรเลียม

ดังนั้นหากภาครัฐสามารถกำหนดทิศทางผลิตพลังงานสะอาด ออกข้อกำหนดให้ผู้ประกอบการ และมีนโยบายสนับสนุนในการใช้เชื้อเพลิงเหล่านี้เป็นวงกว้าง จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน อีกทั้งยังสร้างโอกาสเกิดธุรกิจใหม่ เช่น เกิดผู้ผลิตน้ำมัน SAF รายใหม่ เป็นต้น

“วันนี้จะให้สายการบินเติมน้ำ SAF กี่เปอร์เซ็นต์ก็ทำได้ หากภาครัฐมีมาตรการชดเชย และต้นทุนสายการบินเท่าเดิม เพราะหากมีข้อกำหนดที่ส่งผลต่อต้นทุนผู้ประกอบการ ผู้โดยสารจะได้รับผลกระทบจากค่าโดยสารที่ปรับเพิ่มขึ้นทันที ดังนั้นส่วนสำคัญของเป้าหมายนี้ จะไปไม่ได้หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ”

พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมสายการบินประเทศไทย กล่าวว่า การนำ SAF มาใช้เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมการบิน ถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สายการบินต้องปรับตัว โดยสมาคมฯ พร้อมสนับสนุนเพื่อให้เกิดธุรกิจที่ยั่งยืน

สำหรับข้อกำหนดของภาครัฐที่เตรียมประกาศบังคับใช้ในปี 2569 ให้สายการบินต้องเพิ่มสัดส่วนใช้น้ำมัน SAF 1% คงต้องยอมรับว่าราคาน้ำมันดังกล่างเป็นต้นทุนที่แพงกว่าเชื้อเพลิงปกติ 3 เท่า ดังนั้นการทยอยเอามาเป็นส่วนผสมเล็กน้อย ถือเป็นแนวทางที่ดีที่จะทำให้ผู้ประกอบการได้บริหารจัดการต้นทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สิ่งสำคัญทางภาครัฐต้องเข้ามาช่วยสนับสนุนต้นทุน และมีความชัดเจนในการผลิตน้ำมัน SAF ให้เพียงพอ