ทางออกสุดท้าย 'เขากระโดง' รฟท. ทำสัญญาเช่าที่ดินรายแปลง

ทางออกสุดท้าย 'เขากระโดง' รฟท. ทำสัญญาเช่าที่ดินรายแปลง

การรถไฟฯ เผยทางออกของปม “เขากระโดง” หากกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิทับซ้อน เล็งดึงประชาชนทำสัญญาเช่าให้ถูกกฎหมาย ชี้มีข้อกำหนดเปิดกว้างทั้งสัญญาเพื่ออยู่อาศัย - ทำการเกษตร – เพื่อการพาณิชย์

KEY

POINTS

  • การรถไฟฯ เผยทางออกของปม “เขากระโดง” หากกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิทับซ้อน เล็งดึงประชาชนทำสัญญาเช่าให้ถูกกฎหมาย
  • ระบุประชาชนสามารถขอเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวในหลายรูปแบบ อาทิ การเช่าสำหรับอยู่อาศัย การเช่าสำหรับทำการเกษตร หรือการเช่าสำหรับเชิงพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
  • เผยที่ผ่านมา รฟท.มีแนวทางการดำเนินการกับผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินรวม 2 รูปแบบ ประกอบด้วย ที่ดินที่พิสูจน์ได้แล้วเข้ามาครอบครอง และบุกรุกโดยไม่ชอบ และผู้ที่บุกรุกไม่มีเอกสารสิทธิมีอยู่ 18,822 ราย และที่ดินที่มีข้อพิพาทที่มีการออกเอกสารสิทธิ

คำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ 8027/2561 ลงวันที่ 22 พ.ย.2561 จะเป็นทางสำคัญในการแก้ปัญหาที่ดินเขากระโดงของกระทรวงคมนาคม ซึ่งแนวทางการพิพากษาของคดีดังกล่าวจะเป็นแนวทางของคดีอื่นที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิที่ดินเขากระโดง

สำหรับคดีที่ 8027/2561 พิพากษาว่า “ศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์” ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 200 หมู่ที่ 9 (ปัจจุบันหมู่ที่ 13) ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่ 24 ไร่ 4 ตารางวา ที่ซื้อต่อจากนายชัย ชิดชอบ เพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแยกเขากระโดง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์

รวมทั้งมีประเด็นสำคัญที่ศาลสั่งให้นายศุภวัฒน์ ชำระค่าเสียหายกรณีเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของ รฟท. โดยได้มีการคำนวณจากอัตราค่าเช่าตามระเบียบ รฟท.ฉบับที่ 129 ว่าด้วยการจัดประโยชน์ในทรัพย์สินของ รฟท.เป็นเงินเดือนละ 36,720 บาท ซึ่งทำให้นายศุภวัฒน์ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้ รฟท.ครบ 4.87 ล้านบาท เมื่อเดือนธ.ค.2566

สำหรับการชำระเงินดังกล่าวปรากฏเป็นหลักฐานบัญชีรายการรับ-จ่ายเงิน ครั้งที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 20 ธ.ค.2566 โดยนายศุภวัฒน์ คือ ผู้ที่เป็นเจ้าของ และหุ้นส่วนผู้จัดการใน หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น 

นายศุภวัฒน์ เข้าซื้อหุ้น หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น จากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ สัดส่วน 99% ของทุนจดทะเบียน หรือ 119.5 ล้านบาท พร้อมโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์ ก่อนที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม วันที่ 10 ก.ค.2562

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2513 นายชัย ชิดชอบ ทำบันทึกการประชุมร่วมเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง โดยสรุปว่านายชัย ยอมรับที่ดินพิพาทเป็นของ รฟท.และนายชัย จะขออาศัยอยู่ ซึ่ง รฟท.ตกลงยินยอมให้อาศัย และได้ทำสัญญาการอาศัย

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากหลักฐานดังกล่าวทำให้กระทรวงคมนาคม มองทางออกของปัญหาในปัจจุบันที่มีคำสั่งของศาลเป็นที่สิ้นสุดให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินบางแปลงบริเวณเขากระโดง ในขณะที่กรมที่ดินมีข้อพิจารณาที่อาจนำไปสู่การใช้แนวทางที่ รฟท.ต้องฟ้องร้องให้มีการเพิกถอนโฉนดที่เป็นรายแปลง และอาจต้องมีการชำระค่าเช่าตามแนวทางเดียวกับคดีของนายศุภวัฒน์

ทางออกสุดท้าย 'เขากระโดง' รฟท. ทำสัญญาเช่าที่ดินรายแปลง

 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรณีของการยุติข้อพิพาทการออกโฉนดทับซ้อนบริเวณพื้นที่เขากระโดงนั้น ท้ายที่สุดจะมีความเป็นไปได้ถึงการเจรจากับผู้ถือโฉนดทับซ้อน เพื่อทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ หรือไม่นั้น 

“ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องในอนาคต การทำสัญญาเช่าเป็นรายบุคคลเป็นเรื่องที่ปัจจุบันกระทรวงฯ ยังไม่ได้พิจารณา เพราะปัจจุบันต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำตัดสินของกระบวนการทางกฎหมาย ตามที่ศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ดำเนินการก่อน” นายสุริยะ กล่าว

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการรถไฟฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิที่ดินเขากระโดงของอธิบดีกรมที่ดินแล้ว ซึ่งตามกระบวนการจะต้องรอให้มีการดำเนินการภายใน 60 วัน โดยระหว่างนี้การรถไฟฯ ได้หารือร่วมกับสำนักงานอาณาบาลของการรถไฟฯ เพื่อเตรียมดำเนินการทางกฎหมายในขั้นตอนต่อไป

ซึ่งเบื้องต้นหากไม่มีการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิดังกล่าว การรถไฟฯ เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางศาลปกครองต่อไป 

ส่วนกรณีจะฟ้องดำเนินคดีตาม ม.157 กับอธิบดีกรมที่ดิน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานรัฐ เรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา เช่นเดียวกันการศึกษาข้อมูลการครอบครองเอกสารสิทธิของรายบุคคล หากกรณีที่จำเป็นต้องฟ้องเป็นรายบุคคล

อย่างไรก็ดี ทางออกของปัญหานี้ หากกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินที่ออกทับซ้อนในบริเวณดังกล่าว การรถไฟฯ ได้วางกรอบแนวทางการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ไว้เบื้องต้นแล้ว 

โดยให้ประชาชนสามารถขอเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวในหลายรูปแบบ อาทิ การเช่าสำหรับอยู่อาศัย การเช่าสำหรับทำการเกษตร หรือการเช่าสำหรับเชิงพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

รายงานข่าวระบุว่า สำหรับที่ดินบริเวณเขากระโดงที่มีปัญหามีพื้นที่รวม 5,083 ไร่ โดยได้มีการจำแนกลักษณะเอกสารการใช้ที่ดิน 995 ฉบับ แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.โฉนดที่ดิน 700 ราย 2.ที่ดินมีการครอบครอง (ทค.) 19 ราย 3.หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน (น.ส. 3 ก.) 7 ราย 4.หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) 1 ราย 5.ทางสาธารณประโยชน์ 53 แปลง 6.ไม่ปรากฏในระวางแผนที่ 129 แปลง

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา รฟท.มีแนวทางการดำเนินการกับผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินของ รฟท.ในภาพรวม 2 รูปแบบ ได้แก่

1.ที่ดินที่พิสูจน์ได้แล้วเข้ามาครอบครอง และบุกรุกโดยไม่ชอบ และผู้ที่บุกรุกไม่มีเอกสารสิทธิ มีอยู่ 18,822 ราย ซึ่งแนวทางการดำเนินงานคือ ใช้การดำเนินการแบบคดีแพ่งที่สามารถเจรจากันได้ คือ มีคณะทำงานเข้าไปพูดคุยบางครั้งเป็นการพูดคุยกับประธานชุมชนหรือเครือข่ายชุมชนต่างๆ เพื่อขอให้ผู้บุกรุกมาเป็นผู้เช่าที่ของ รฟท.

รวมทั้งมีการทำสัญญาเช่าที่ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ให้ รฟท.และมีการจัดตั้งหน่วยงานภายในเข้ามาดูแลทรัพย์สินซึ่งมีหน้าที่โดยตรง

2.ที่ดินที่มีข้อพิพาทที่มีการออกเอกสารสิทธิ์ บนพื้นที่ที่มีการสันนิษฐานว่าเป็นที่ดินของ รฟท.โดยพื้นที่ใหญ่ที่สุดคือ พื้นที่บริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีการออกโฉนดไป 900 ราย นอกจากนั้นเป็นพื้นที่อื่นๆ ที่มีการออกโฉนดบนพื้นที่ลักษณะนี้มากกว่า 200 ราย

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา รฟท.ได้ดำเนินยื่นฟ้องหลายคคีจากข้อขัดแย้งที่ดินเขากระโดง โดยยื่นเรื่องให้ศาลปกครองกลาง เป็นผู้ชี้ขาดสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินของ รฟท.ทั้ง 5,083 ไร่ที่เขากระโดง ซึ่งที่ดินนี้ รฟท.ได้รับมาตามพระราชโองการ และมีหลักฐานยืนยันได้ตามเอกสารทางประวัติศาสตร์ 

สำหรับคู่กรณี คือ รฟท.ในฐานะเจ้าของที่ดิน และกรมที่ดินที่เป็นหน่วยงานที่ออกเอกสารสิทธิ ซึ่ง รฟท.เคยได้ยื่นร้องค่าเสียหายเป็นวงเงินประมาณ 700 ล้านบาทกับกรมที่ดินด้วย

ทั้งนี้ที่ผ่านมาการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ส่งมอบแฟ้มสัญญาเช่า และการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ (Non Core) ให้กับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ ในการบริหารทรัพย์สิน จำนวน 12,233 สัญญา ประกอบด้วย 

1.สัญญาฝ่ายบริหารทรัพย์สิน จำนวน 5,856 สัญญา 2.สัญญาฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ จำนวน 6,369 สัญญา และ 3.สัญญาฝ่ายอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม จำนวน 8 สัญญา บนพื้นที่กว่า 38,469 ไร่

ทั้งนี้หลังจากนั้น เอสอาร์ที แอสเสท ได้นำร่องเข้าทำสัญญาเช่ากับประชาชนที่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 150 สัญญา เพื่อทำสัญญาเช่าสำหรับเป็นที่พักอาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันยังพบว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟสายดังกล่าว มีประชาชนที่อยู่อาศัยในที่ดินรถไฟทั้งหมดประมาณ 3,500 ครอบครัว ซึ่งจะมีการทยอยทำสัญญาเช่าให้ถูกกฎหมายทั้งหมด

ขณะที่ปัจจุบันที่ดินของการรถไฟฯ มีทั้งหมด 246,880 ไร่ แบ่งเป็น 

1.พื้นที่ Core Business เป็นพื้นที่ย่านสถานี ที่ทำการ เขตทางรถไฟ จำนวน 201,868 ไร่ 

2.พื้นที่ Non-Core Business ที่สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ จำนวน 45,012 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ สามารถนำไปพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จำนวน 33,761 ไร่ 

รวมทั้งยังมีพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือเส้นทางการเดินรถไฟทั่วประเทศทั้งหมด 38,469 ไร่ ซึ่งส่วนนี้พบว่ามีประชาชนอยู่อาศัยจำนวนมาก

สำหรับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หลังจากนี้จะเข้ามามีบทบาทในการบริหารทรัพย์สินที่ดินของการรถไฟฯ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2563 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ บริการรับจ้างบริหารจัดการสัญญาเช่า โดยทรัพย์สินทั้งหมดยังเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ

รวมทั้งจัดสรรพื้นที่ และเจรจากับบุคคลที่สาม หรือร่วมทุนกับเอกชน เพื่อรับโอนพื้นที่ไปดำเนินการ ตลอดจนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเช่าพื้นที่จากการรถไฟฯ หรือซื้อที่ดินจากองค์กรอื่นมาพัฒนา และบริหารจัดการ ทั้งนี้ บริษัทต้องแบ่งผลตอบแทนให้กับการรถไฟฯ ในฐานะผู้บริหารสัญญา ร้อยละ 5 ของรายได้จากค่าบริหารสัญญา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์