“มาร์เก็ต แชร์”ส่งออกไทยในเวทีโลก สัดส่วน1.2% รั้งท้ายภูมิภาคอาเซียน

“มาร์เก็ต แชร์”ส่งออกไทยในเวทีโลก สัดส่วน1.2% รั้งท้ายภูมิภาคอาเซียน

การส่งออกไทยเมื่อปี 2566 มีมูลค่าถึง 284,561 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทย จะมีมูลค่าสูงถึง9.8 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70%ของจีดีพีประเทศ ทำให้ภาคการส่งออกเป็นหน่วยค้ำยันทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ

ข้อมูลจาก GLOBAL TRADE OUTLOOK AND STATISTICS - APRIL 2024 เผยแพร่โดยองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ระบุถึงส่วนแบ่งตลาดการส่งออกของประเทศไทย ว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา การส่งออกโลกมีมูลค่า 23,784 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 5% โดยประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดการส่งออกสูงสุดคือ จีน สัดส่วน 14.2% รองลงมาคือ สหรัฐ 8.5% และเยอรมนี 7.1% 

หากประเมินเฉพาะภูมิภาคอาเซียนพบว่า สิงคโปร์มีลำดับส่วนแบ่งตลาดที่ 15 สูงสุดในอาเซียน มีส่วนแบ่งตลาด 2.1%   ส่วนลำดับที่ 23 คือเวียดนาม ส่วนแบ่งตลาด 1.5% ลำดับที่ 26 คือมาเลเซีย ส่วนแบ่งตลาด 1.3%  ลำดับที่ 27 คือ ประเทศไทย ส่วนแบ่งตลาด 1.2% และลำดับที่ 28 คือ อินโดนีเซีย ส่วนแบ่งตลาด 1.1% 

“มาร์เก็ต แชร์”ส่งออกไทยในเวทีโลก สัดส่วน1.2% รั้งท้ายภูมิภาคอาเซียน

รายงานยังระบุถึงคาดการณ์การค้าโลกในปี 2567 ว่า จะมีอัตราขยายตัว 2.6% และปีถัดไปคือ 2568 จะขยายตัว 3.3% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวหลังจากที่เมื่อปี 2566 ที่ผ่านไปแล้วการค้าโลกติดลบที่ 1.2%  ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าความต้องการนำเข้าที่เปราะบางในยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชียปีที่ผ่านมา ตรงข้ามกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในภูมิภาคตะวันออกกลาง กลุ่มเครือรัฐรัสเซียเก่า หรือ ซีไอเอส

"ด้านการเติบโตของเศรษฐกิจโลกพบว่า การชะลอตัวของปริมาณการค้าสินค้ามีความเชื่อมโยงกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อทำให้การบริโภคอ่อนแอ คาดว่าจีดีพีโลกปี 2567 จะอยู่ที่ 2.6% และปี 2568 ขยายตัวที่ 2.7% ด้านการส่งออกสินค้าที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลดลงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและก๊าซ ในขณะเดียวกันการค้าบริการมีความสำคัญมากขึ้นและน่าจะเป็นกำลังสำคัญของการฟืนตัวเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลจากการเดินทางระหว่างประเทศและการเพิ่มขึ้น รวมถึงการค้าผ่านระบบดิจิทัลด้วย"

      อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อการคาดการณ์ต่างๆที่มีโอกาสส่งผลในแง่ลบต่อการค้าและเศรษฐกิจโลกคือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ในปัจจุบันยังความตึงเครียดและความไม่แน่นอน ความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้เบี่ยงเบนไปสู่การขนส่งทางทะเลระหว่างยุโรปและเอเชียและยังมีความตึงเครียดรูปแบบอื่นๆที่ นำไปสู่ความแตกแยกทางการค้า ลัทธิกีดกันที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจบ่อนทำลายการฟื้นตัวของการค้าในปี 2567 และ 2568

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)  กล่าวว่าการส่งออกของไทยในเดือนเม.ย. 2567 มีมูลค่า 23,278.6 ล้านดอลลาร์ หรือ มูลค่า  834,018 ล้านบาท  ขยายตัว 6.8 %หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว11.4% การส่งออกของไทยพลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกอีกครั้ง 

“สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มีมุมมองว่า เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวที่ดีจากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของโลกที่ชะลอตัวลง ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการผลิตทั่วโลก โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นหลายรายการ ขณะที่ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง แต่อานิสงส์ด้านราคาตามความต้องการของตลาดโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรบางรายการยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง” 

ทั้งนี้ การส่งออกไทย 4 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัว 1.4 ๔และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว3.7%

         การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว9.2% (YoY) ในเดือนเม.ย. โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เป็นผลจากขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐ ซาอุดีอาระเบีย และอินโดนีเซีย

        สินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ  เป็นการขยายตัวในตลาดสหรัฐ  จีน ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ สินค้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวในตลาดสหรัฐ จีน เยอรมัน อินเดีย และฮ่องกง

 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวในตลาดสหรัฐ เวียดนาม ออสเตรเลีย เยอรมนี และอินเดีย  เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ สหรัฐ อินโดนีเซีย แคนาดา และเกาหลีใต้  หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวในตลาดสหรัฐ เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก ไต้หวัน และมาเลเซีย)

       ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัว5.7% หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน หดตัวในตลาดเวียดนาม กัมพูชา ญี่ปุ่น สิงคโปร์และเมียนมา แต่ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย อินเดีย สปป.ลาว และอินโดนีเซีย แผงวงจรไฟฟ้า หดตัว 9.2 %หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน  หดตัวในตลาดสิงคโปร์ จีน ไต้หวัน สหรัฐ  และฟิลิปปินส์ แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น เยอรมนี มาเลเซีย และเกาหลีใต้

 อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด หดตัว 15.9% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน หดตัวในตลาดฮ่องกง เวียดนาม จีน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกของไทยในปี 2567 จะยังสามารถเติบโตได้ดีจากความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และปัญหาเงินเฟ้อที่เริ่มบรรเทาลง ส่งผลดีต่อกำลังซื้อในหลายประเทศ ขณะที่สภาพอากาศแปรปรวนสร้างแรงผลักดันต่อราคาสินค้าเกษตรและความต้องการนำเข้าเพื่อความมั่นคงทางอาหาร แต่กดดันปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากปัญหา

ด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มขยายวงกว้าง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามประเมินสถานการณ์เป็นระยะ และจะทำงานร่วมกับทูตพาณิชย์ในแต่ละประเทศเพื่อแสวงหาแนวทางสร้างโอกาสและลดอุปสรรคในการส่งออกต่อไป