'ธุรกิจไทย' รื้อแผนรับมือสงคราม เร่งเกาะติด ‘ตะวันออกกลาง-เมียนมา'

ภาคธุรกิจไทยรับมือศึกภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในตะวันออกกลาง เมียนมา สรท.เผยผู้ส่งออกไทยหาตลาดใหม่ ลดต้นทุนการผลิต WHA เร่งพัฒนานิคมฯ รับย้ายฐานการลงทุน ‘มาม่า’ เฝ้าระวังโรงงานเมียนมา-ฮังการี ผู้ประกอบการคอนโด เร่งทำตลาดรับภูมิรัฐศาสตร์ดันดีมานด์ต่างชาติพุ่ง
ความเสี่ยงจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงขึ้น ทั้งความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-อิหร่าน และปัญหาในเมียนมา โดยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยกระดับความรุนแรงในหลายพื้นที่ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่คู่ขัดแย้งต่างมุ่งเป้าการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางและเมียนมา มีแนวโน้มกระทบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจไทยมากขึ้น
กกร.ประเมินความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีความเสี่ยงมากขึ้นหลังการปะทะระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ความขัดแย้งขยายวงกว้างไปสู่การโจมตีระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน แต่ยังไม่มีการสนับสนุนจากชาติพันธมิตร โดยการสู้รบเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์มากกว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อทำสงคราม และผลกระทบต่อราคาน้ำมันยังจำกัด
สำหรับฉากทัศน์กรณีสงครามรุนแรงขึ้นและขยายวงกว้าง (Worst case) สถานการณ์ในตะวันออกกลางอาจรุนแรงขึ้น และขยายวงกว้างไปทั่วอ่าวเปอร์เซียตลอดไตรมาส 3 และเริ่มคลี่คลายเล็กน้อยไตรมาส 4
ทั้งนี้หากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้นและขยายวงกว้างจะส่งผลให้การขนส่งสินค้ามีความยากลำบากและกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเป็นสำคัญ คาดว่าทำให้การส่งออกสินค้าไทยปี 2567 ลดลง 1.0% โดยสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ รถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง ไม้และผลิตภัณฑ์ ข้าวและเครื่องปรับอากาศ
ขณะที่ปัญหาความไม่สงบในเมียนมายกระดับและมีแนวโน้มลากยาว โดยส่งผลให้การลงทุนไทยในเมียนมามีแนวโน้มลดลง โดยความขัดแย้งในเมียนมารุนแรงขึ้นเมื่อกองกำลังติดอาวุธสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KKU) อ้างว่ายึดเมืองเมียวดีได้ช่วงกลางเดือน เม.ย. 2567 รวมทั้งล่าสุดฝ่ายกองทัพพยายามเข้ายึดพื้นที่คืน
สำหรับปัญหาความไม่สงบในเมียนมาเกิดขึ้นต่อเนื่องหลังประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์ต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี 2564 โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในเมียนมา ซึ่งเงินลงทุนจากไทยในเมียนมาปี 2566 หดตัวถึง 14.0% ทั้งยังลดลงกว่า 85% เมื่อเทียบกับช่วง Pre-COVID ซึ่งเฉลี่ยปีละ 1,300 ล้านดอลลาร์
ผู้ส่งออกหาตลาดใหม่ลดต้นทุนการผลิต
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สงครามตะวันออกกลางต้องจับตาและเฝ้าระวังใกล้ชิด ส่วนผลกระทบต่อการส่งออกไทยอาจไม่น่าเป็นกังวลนัก เพราะการค้าระหว่างไทย-อิหร่าน มีมูลค่าน้อย
ส่วนภาคการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ (Hormuz) ที่เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ โดยเฉพาะเรือบรรทุกน้ำมันที่มีวันละ 50 ลำ และเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์วันละ 60-80 ลำต่อวัน หากเส้นทางดังกล่าวถูกปิด จะกระทบราคาน้ำมันและการส่งออกไปตะวันออกกลาง
รวมถึงช่องแคบบับเอลมันเดบ (El-Mandeb) ที่เป็นเส้นทางทะเลแดงผ่านคลองสุเอซไปยุโรป แม้สถานการณ์คลี่คลายและเดินเรือผ่านได้ปกติแต่ต้องติดตามใกล้ชิด โดยหากปิดเส้นทางจะกระทบการส่งออกไปสหภาพยุโรป ซึ่งมีสัดส่วน 8% ของการส่งออกไทยทั้งหมด
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกเตรียมรับมือ คือ
1.หาตลาดใหม่ เร่งส่งออกตลาดใกล้เคียงเพิ่มขึ้น อาทิ อาเซียน จีน อินเดีย เพื่อทดแทนตลาดตะวันออกกลาง หากสถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้นและขยายวงกว้าง
2.ลดต้นทุนในกระบวนการผลิต เพราะสงครามตะวันออกกลางส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นที่ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาอาจผันผวนให้สูงกว่า 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในบางช่วง
3.เสริมสภาพคล่องเพื่อให้มั่นใจว่ามีการวางแผนการผลิต การนำเข้า การส่งออกและระบบการชำระเงิน ไม่ติดปัญหาเพื่อให้รองรับการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนได้
นายชัยชาญ กล่าวว่า การส่งออกไทยไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวนักหากสถานการณ์อยู่ระดับนี้ โดยไตรมาส 1 การส่งออกติดลบ 0.1% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบสภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ และไตรมาส 2 ปีนี้ หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้น คาดการณ์การส่งออกไทยจะขยายตัว 1-2%
“WHA”ชี้เตรียมพร้อมนิคมฯรับย้ายฐาน
นายปจงวิช พงษ์ศิวาภัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ขณะนี้ถือว่าเกิดหลายจุด เช่น จีนกับสหรัฐ , จีนกับไต้หวัน หรือแม้แต่สงครามในยุโรป สถานการณ์ดังกล่าว กลับทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตในประเทศจีน และยุโรปออกมาอยู่ในประเทศที่ไม่ได้เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กลุ่ม WHA มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและเวียดนามทั้งหมด 77,600 ไร่ แบ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมในไทย 12 แห่ง พื้นที่รวม 43,200 ไร่ รวมพื้นที่ที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยทั้ง 2 ประเทศมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรับ การลงทุนจึงทำให้ WHA ได้ประโยชน์จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
‘มาม่า’ เฝ้าระวังโรงงานเมียนมา-ฮังการี
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต “มาม่า” กล่าวว่า สถานการณ์สงครามที่ขยายวงกว้างในเมียนมา , สงครามอิสราเอล และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่ยุติ รวมถึงไม่คาดการณ์อนาคตไม่ได้ว่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกจะเกิดจุดไหนอีก ทำให้บริษัทเป็นห่วงและต้องเฝ้าระวัง มอนิเตอร์เหตุการณ์ต่อเนื่อง ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจขณะนี้ไม่มีมากนัก
ทั้งนี้ มาม่า มีโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายประเทศ เช่น เมียนมา ฮังการี โดยเมียนมา มีกำลังผลิต 4 แสนซองต่อวัน หรือไม่ถึง 5% เมื่อเทียบการผลิตในไทย ด้านการค้าขายภายในประเทศยังไม่กระทบนัก อีกทั้งเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ยอมรับว่ามีบ้างที่ชาวเมียนมาออกมาจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
สำหรับโรงงานผลิตบะหมี่ฯ มาม่า ในเมียนมา ตั้งอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ไม่อยู่ในพื้นสู้รบและการค้าขายไม่ได้อยู่ชายแดน แต่ที่ผ่านมามีผลกระทบเกิดขึ้น คือ การห้ามนำเข้าพลาสติกทำให้เผชิญวัตถุดิบขาดแคลน เกิดภาวะการผลิตช็อตไปเล็กน้อย แต่สิ่งที่มีผลค่อนข้างมาก คือ ค่าเงินจ๊าดอ่อนค่าทำให้การนำเข้าต้นทุนสูงจึงมีการปรับสินค้าขึ้นบ้าง
พร้อมกันนี้บริษัทวางแผนรับมือหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถรับมือได้ ไม่ว่าจะเป็นผลิตหรือจำหน่ายสินค้าไม่ได้ ปัจจุบันมาม่าส่งออกสินค้าไปจำหน่ายทั่วโลก สัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 30% ในประเทศ 70% ตลาดหลักส่งออกสำคัญ เช่น ฟินแลนด์ ซึ่งมาม่าเป็นเบอร์ 1 รวมถึงเยอรมนี อังกฤษ นอร์เวย์
“ตอนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ไม่กระทบโดยตรง แต่มีผลทางอ้อมต่อต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น จากข้าวสาลีช็อตทั่วโลก สงครามอิสราเอลรอบแรก บะหมี่ฯขายดี เพราะเป็นยุทธปัจจัยทางทหารในการบริโภค เมื่อสงครามลุกลามมีผลต่อการขาย แต่ตลาดมาม่าที่นั่นยังเล็ก ส่วนอนาคตต้องเฝ้าระวังโรงงานที่ฮังการี และการดูแลคู่ค้าที่จะลงทุนกับประเทศที่มีความเสี่ยงด้านสงครามและมีการเลือกฝ่ายต่างๆ”
ภูมิรัฐศาสตร์ดันดีมานด์ต่างชาติพุ่ง
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่าในสถานการณ์ที่ทั่วโลกเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล และเมียนมา เป็นทั้งปัจจัยลบและปัจจัยบวก สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจัยลบ คือ ต้นทุนที่ผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการความเสี่ยง ขณะเดียวกันเป็นปัจจัยหนุนให้ชาวต่างชาติต้องการบ้านหลังที่ 2 สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในไทยมากขึ้น
โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเป็นสินค้าเดียวที่ชาวต่างชาติซื้อได้ถูกกฎหมายไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายของห้องชุดในอาคาร โดยไทยเป็น “โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้” ในสายตาชาวต่างชาติ สะท้อนจากยอดโอนคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เดือน ม.ค.-ก.พ.2567 เติบโต 6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนติดลบ 11% ขณะที่ลูกค้าเมียนมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเติบโตถึง 241% ไต้หวัน 127% และอินเดีย 83%
ทั้งนี้ เป็นโอกาสของอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจขึ้น จากความโดดเด่นของเสถียรภาพค่าเงินบาทเทียบภูมิภาค เช่น เมียนมา กัมพูชา ลาว ระบบสาธารณสุขที่ดีและความพร้อมของโรงพยาบาลเอกชน ระบบการศึกษาโรงเรียนนานาชาติที่พัฒนาต่อเนื่อง ความเป็นมิตรของคนไทย และไม่มีภัยพิบัติรุนแรงหรือภัยจากสงคราม
“ทำให้อสังหาริมทรัพย์ย่านใจกลางธุรกิจ (ซีบีดี) ในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลางการลงทุนภูมิภาคนี้ โดยคอนโดมิเนียมเป็นสินค้าหลักที่รองรัับดีมานด์จากต่างประเทศที่เข้ามาในเมืองไทย”
ชงเพิ่มโควตาต่างชาติซื้อคอนโด 69%
ทั้งนี้ อยากผลักดันและปรับปรุงเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดของชาวต่างชาติจาก 49% เป็น 69% เพื่อสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคอนโดมิเนียมให้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สอดคล้องกับนายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับอานิสงส์เพราะคนต่างชาติมองหาที่อยู่อาศัยในต่างประเทศ เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 หรือซื้อเพื่อลงทุนทำให้ได้ดีมานด์ต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากขึ้น
สมาคมโรงแรมไทยหวั่นสงครามขยายวง
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวว่า ผลสำรวจสมาชิกผู้ประกอบการโรงแรมพบว่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์คู่ขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน , อิหร่าน-อิสราเอล ยังไม่กระทบธุรกิจโรงแรมในไทยนัก แต่ถ้าขยายวงก็ยังไม่แน่ใจผลกระทบจึงต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
ส่วนสงครามในเมียนมา ส่งผลให้มีการทะลักของผู้หนีสงครามเดินทางเข้าไทยแบบไม่ถูกกฎหมายมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเลขนักท่องเที่ยวเมียนมาโดยตรง
“ยอดจองโรงแรมในไทยช่วงโลว์ซีซันไตรมาส 2-3 ปีนี้ ใกล้เคียงปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง พอสิ้นสุดเดือนรอมฏอนหรือประเพณีถือศีลอด จะเดินทางเข้าไทยมากขึ้น โดยยอดจองห้องพักยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ พบว่ายอดจองใกล้เคียงปีที่แล้วและไม่ยกเลิกการจอง"
โดยเฉพาะกลุ่มลักชัวรีที่นิยมพักโรงแรม 5-6 ดาว ยังจ่ายหนัก กินหรูอยู่ในโรงแรม พำนักระยะยาว รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง ด้านตลาดนักท่องเที่ยวรัสเซียไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่วนยูเครนอาจน้อยลง ขณะที่อิสราเอลชะลอเดินทางเข้าไทยจากปัญหาความขัดแย้งกับอิหร่าน







