'กนอ.-กยท.' หนุนยางพาราไทยรับกติกาโลก เร่งดูดการลงทุน ดันราคาแตะ 3 หลัก

'กนอ.-กยท.' หนุนยางพาราไทยรับกติกาโลก เร่งดูดการลงทุน ดันราคาแตะ 3 หลัก

"กนอ." ผนึก "กยท." หนุนยางพาราไทยตรวจสอบย้อนกลับรับกติกาโลก พร้อมดูดการลงทุนในไทย ดันราคายางแตะ 3 หลัก สร้างรายได้ 2 แสนล้าน ย้ำ รัฐบาล 6 เดือน ดันราคายางสร้างรายได้แล้วกว่า 7 หมื่นล้าน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การวิจัยพัฒนา การบริการวิชาการ และความเป็นไปได้ของการดำเนินธุรกิจยางพาราและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพในนิคมอุตสาหกรรม ระหว่าง กนอ. และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ว่า MOU ฉบับนี้ เกิดจากเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นของ กนอ. และ กยท. ในการพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับยางพาราในภาคอุตสาหกรรม โดยใช้ศักยภาพด้านการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. ร่วมกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของ กยท. เพื่อสนับสนุนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการจัดการสิ่งแวดล้อม 

“ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายถือเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาและสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้ประสบความสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างเป็นรูปธรรมได้รวมถึงเพื่อส่งเสริมมการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดของสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา รองรับการบังคับใช้กฎหมาย EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) ของสหภาพยุโรป ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.2568 เป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถขยายตลาดยางพาราในสภาพยุโรปได้มากขึ้น สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ”

นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กยท. เป็นองค์กรกลางรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร และมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราโลก และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบกิจการยาง ทั้งด้านวิชาการ การเงิน การผลิต การแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด และการประกอบธุรกิจ เพื่อพัฒนาสู่ความยั่งยืนสอดคล้องกับแนวทางบริหารด้านยางพารา 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้จะสามารถผลักดันราคายางให้สูงขึ้นได้ถึงตัวเลข 3 หลัก ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้เข้าประเทศ 200,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 85 บาท/กิโลกรัม(ก.ก.) สร้างรายได้แล้วกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้ามาดำรงตำแหน่งรมว.เกษตรและสหกรณ์ จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 49 บาท/ก.ก. และนำไปสู่เป้าหมายไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราโลก

“นโยบายส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพารา โดยเฉพาะล้อยาง ช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตยางออกจากตลาดได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 400,000 ตัน ซึ่งปัจจุบันผลักดันผลผลิตยางที่ได้มาตรฐานสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้แล้ว 1 ล้านตัน จากกำลังการผลิตได้ทั้งสิ้น 14 ล้านตัน ตั้งเป้าหมายปีนี้ตรวจสอบย้อนกลับได้ 2 ล้านตัน และปี 2568 ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 6 ล้านตัน”

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ. เล็งเห็นว่า กยท. เป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศ ทั้งนี้ แนวโน้มของอุตสาหกรรมยางพาราโดยรวมปี 2567-2568 คาดว่ายังมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่องทั้งด้านผลผลิตและความต้องการใช้ จากภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มยานยนต์ ถุงมือยาง อุปกรณ์การแพทย์ โครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มในการใช้ยางในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการของภาครัฐในการรักษาเสถียรภาพราคายาง ดังนั้น กนอ. และ กยท. จะร่วมกันพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้เกี่ยวกับยางพาราในภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศอย่างยั่งยืน

“การลงนาม MOU ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่ กนอ. และ กยท. จะได้ทำงานร่วมกันในการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพาราในระยะต่อไป รวมถึงการดำเนินธุรกิจยางพาราและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพในนิคมอุตสาหกรรม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมยางพารา และในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้ประสบความสำเร็จ และบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม โดยขณะนี้มีนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ 2 ราย ให้ความสนใจเข้ามาลงทุน ซึ่ง กนอ.มีความพร้อมด้านพื้นที่รองรับการลงทุนทั้งในนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (รับเบอร์ ซิตี้) จ.สงขลา ประมาณ 400-500 ไร่ และในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ด้วย"

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ทั้ง 2 หน่วยงาน มีความตั้งใจในการผสานศักยภาพองค์ความรู้เฉพาะทาง ทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยางพาราของ กยท. และด้านการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. ซึ่ง กยท. พร้อมร่วมสนับสนุน ส่งเสริมการศึกษา วิจัย พัฒนา การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยาง โดยมุ่งเน้นการแปรรูปจากผลผลิตยางที่มาจากเกษตรกรชาวสวนยาง และสนับสนุนการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมด้านยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในพื้นที่ของ กยท. และ กนอ. รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมด้านยางพารา เพื่อให้เกิดการดำเนินธุรกิจยางพาราครบวงจรทั้งกระบวนการ ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมยางจะเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนา เพิ่มรายได้ และสร้างความยั่งยืนทางอาชีพให้กับชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกร และเพื่อประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับบันทึกความเข้าใจระหว่าง กนอ. และ กยท.ครั้งนี้ มีกรอบและแนวทางการดำเนินงาน คือ    

1. ส่งเสริม สนับสนุน การศึกษา วิจัย พัฒนา หรือการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพารา 

2. สนับสนุนการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมด้านยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ 

3. สนับสนุนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมด้านยางพารา และอุตสาหกรรมยางพารา ผ่านการส่งเสริมการลงทุน โดย MOU ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม