‘วิกฤติต้มกบ’ ไทยคงถูกเวียดนามแซง

‘วิกฤติต้มกบ’ ไทยคงถูกเวียดนามแซง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เพราะล่าสุดการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไทยเริ่มมีอัตราการใช้กำลังผลิตต่ำลง ในขณะที่ฝั่งเวียดนามกำลังขยายตัว

เศรษฐกิจไทยระยะสั้นว่าน่าห่วงแล้ว แต่ระยะยาวน่าห่วงยิ่งกว่า หากปล่อยไว้แบบนี้เราคงตกทุกขบวนการเติบโตและคงถูกประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” แซงหน้าได้ในท้ายที่สุด ...หลายคนบอกว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะ “ต้มกบ” เปรียบเหมือนกับกบที่อยู่ในหม้อน้ำที่อุณหภูมิอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนร้อน แต่กบไม่รู้ตัว กระทั่งน้ำเดือดซึ่งก็กระโดดหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ต่างกับเวียดนามที่สปีดตัวเองอยู่ตลอด จนถูกยกให้เป็นประเทศดาวรุ่งแห่งอาเซียนที่จะเติบโตเร็วสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า

ตัวอย่างที่ชัดเจนสุด คือ สินค้าในกลุ่มการผลิตเพื่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงกว่า 60% ปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังผลิตต่ำเพียง 48.9% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังค่อนข้างมากซึ่งอยู่ระดับ 57.8% สาเหตุเพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่เราผลิต เป็นสินค้าที่ทั่วโลกทยอยเลิกใช้กันแล้ว เช่น Hard Disk Drive(HDD) ที่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันไปใช้ Solid State Drive(SSD) แทนและเป็นสินค้าที่ไทยยังไม่มีความสามารถในการผลิต แตกต่างกับเวียดนามอย่างชัดเจน

ย้อนไปดูช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่เคยเป็น “พระเอก” ช่วยปั๊มจีดีพีให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งกำลังชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่ในช่วง 10 ปีล่าสุดนี้มีค่าเฉลี่ยการเติบโตเพียง 4% ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ขยายตัวได้ถึง 37% หนำซ้ำการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยยังถูกกระทบจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน สะท้อนจากสัดส่วนสินค้านำเข้าต่อการบริโภคภาคเอกชนของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จาก 17% มาอยู่ที่ 24% ณ สิ้นปี 2566

ลองมาดูประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” ที่หลายคนปรามาสว่าไม่มีทางที่เศรษฐกิจจะเติบโตแซงหน้าไทย แต่ล่าสุดสื่อต่างประเทศหลายแห่งได้หยิบยกรายงานของ New World Wealth ระบุว่า เวียดนามจะมีความมั่งคั่งเติบโตเร็วสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีสถานะเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกที่แข็งแกร่ง ซึ่งสถานะนี้บอกได้เลยว่าเคยเป็นของไทยมาก่อน ...แม้วันนี้เวียดนามจะมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทยอยู่ค่อนข้างมาก แต่หากสปีดการเติบโตของเวียดนามและไทยยังเป็นแบบในปัจจุบัน เราคงหนีไม่พ้นที่จะถูกเวียดนามแซงแน่นอน

เราเชื่อว่ารัฐบาลเห็นปัญหาเหล่านี้ดี สะท้อนผ่านการทำหน้าที่เซลส์แมนของนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ที่พยายามชักชวนภาคธุรกิจระดับโลกมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งก็เริ่มเห็นความหวังบ้าง แต่ด้วยโครงสร้างประชากรไทยที่วัยแรงงานร่อยหรอลงทุกที แถมยังมีปัญหาเรื่องปากท้องและความเหลื่อมล้ำที่สูงลิ่วจนกัดกร่อนกลายเป็นปัญหาเชิงสังคม ทำให้ผู้มาลงทุนต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงเป็นโจทย์ยากที่เราต้องเร่งแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นควบคู่กับปัญหาระยะยาว เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยคงกลายเป็นกบที่ตายในน้ำเดือดอย่างแน่นอน!