‘สภาพัฒน์’ ขอ ‘แบงก์ชาติ’ หั่นดอกเบี้ยพยุง ศก. ชี้รัฐใช้มาตรการคลังหมดแล้ว

‘สภาพัฒน์’ ขอ ‘แบงก์ชาติ’ หั่นดอกเบี้ยพยุง ศก. ชี้รัฐใช้มาตรการคลังหมดแล้ว

"สศช." ชี้ถึงเวลามาตรการการเงินต้องเข้ามาช่วยเศรษฐกิจ หลังภาครัฐใช้มาตรการการคลังไปหมดแล้วแต่หนี้ครัวเรือนยังสูงและเอสเอ็มอีเริ่มมีสัญญาณหนี้เป็น NPL มากขึ้น พร้อมแนะทบทวนการกำหนดการจ่ายหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 8% ให้ลดเป็น 5% เท่าเดิมชั่วคราว

วันนี้ (19 ก.พ.) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)กล่าวในการแถลงข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2556  และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ตอนหนึ่งว่าปัจจุบันข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ออกมาสะท้อนถึงปัญหาที่อยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยคือหนี้ที่สูงโดยเฉพาะภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งช่วงที่ผ่านมาจะมีสินเชื่อที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) เริ่มเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ หรือ หนี้เสีย (NPL) ซึ่งเพิ่มจำนวนเพิ่มขึ้นมาก

ทั้งนี้ที่ผ่านมาทางฝั่งภาครัฐ หรือรัฐบาลได้ใช้มาตรการต่างๆ เกือบทั้งหมดแล้ว ทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการช่วยเกิดการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยว เร่งงบประมาณปี 67 เร่งรัดเบิกจ่ายที่เป็นงบประจำต่อเนื่อง และรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนต่อเนื่องดังนั้นจึงถึงช่วงเวลาที่มาตรการการเงินจะเข้ามาช่วยเศรษฐกิจ

‘สภาพัฒน์’ ขอ ‘แบงก์ชาติ’ หั่นดอกเบี้ยพยุง ศก. ชี้รัฐใช้มาตรการคลังหมดแล้ว

“สิ่งที่พิจารณาในช่วงถัดไปอย่างจริงจัง คือ มาตรการด้านการเงินน่าจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ โดยเฉพาะการลดภาระครัวเรือนและเอสเอ็มอี อย่างมาตรการอัตราดอกเบี้ยต่างๆ ต้องพิจารณาจริงจัง ไม่ว่าจะอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนต่างดอกเบี้ย ซึ่งเน้นลงไปภาครัวเรือนและเอสเอ็มอี เพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง เพราะตัวธุรกิจขนาดใหญ่ไม่มีปัญหามาก แต่ที่มีปัญหาคือครัวเรือนและเอสเอ็มอี คงต้องทำมาตรการช่วยให้เกิดปรับตัวของส่วนต่างดอกเบี้ยกลุ่มเอสเอ็มอีและครัวเรือน โดยต้องมีมาตรการเข้าไปดูเป็นการเฉพาะด้วยไม่ให้ดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้มีการก่อหนี้มากขึ้น” นายดนุชา กล่าว

นอกจากนี้ต้องดูมาตรการในส่วนของการกำหนดชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำยังควรมีมาตรการผ่อนคลายสินเชื่อบัตรเครดิตต่อไปอีกระยะเนื่องจากธุรกิจเอสเอ็มอีหลายธุรกิจใช้บัตรเครดิตทำธุรกิจ ในช่วงโควิด-19ที่ผ่านมามีมาตรการผ่อนคลายเรื่องนี้ การชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตเหลือ 5% ของวงเงินใช้จ่าย ซึ่งมาตรการสิ้นสุดแล้วตั้งแต่เดือน ธ.ค.66 พอมาเดือน ม.ค.67 ขยับเป็น 8% โดยหากดูตัวสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้และปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมทั้งตัวเลข SM ต้องการให้ปรับการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตเหลือ 5% อีกระยะ เพื่อให้ภาคเอสเอ็มอีที่ใช้สินเชื่อบัตรเครดิต ให้มีกำลังการใช้จ่ายมากขึ้น ถ้าใช้ประกอบกับดอกเบี้ยด้วยเชื่อว่าจะไม่ทำให้ตัว SM ไปเป็น NPL

โดยในเรื่องมาตรการสินเชื่อบัตรเครดิตต้องทำควบคู่กับการที่ธนาคารพาณิชย์ไปดูกลุ่มที่ใช้การชำระขั้นต่ำเป็นเวลานาน ดึงมาปรับโครงสร้างหนี้ ให้มีภาระดอกเบี้ยลดลงและช่วยให้เกิดการชำระหนี้ดีขึ้น ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัญหาผ่อนที่อยู่อาศัย เพราะเป็นเรื่องสำคัญในการดำรงชีวิต จึงอยากฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาตรงนี้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้ขอย้ำว่าถ้ามีการลดดอกเบี้ยคงต้องให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจ เอสเอ็มอี ครัวเรือน ทั้งหมดอยู่ที่การพิจารณาของ ธปท. ในส่วนตัวคงต้องพิจารณาตรงนี้อีกสักนิดนึง ส่วนมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐนั้น อยู่ที่การออกแบบว่าออกมากระตุ้นการผลิตสินค้าและลงทุนให้มากขึ้นได้อย่างไร ขอหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

“เรื่องดอกเบี้ยนั้น สศช. ให้ ธปท.เป็นผู้พิจารณาว่าเวลาที่เหมาะสมจะปรับลงคือเมื่อไร แต่ถ้าทำได้เร็วจะมีส่วนช่วยพอสมควร คงต้องดูประกอบกัน เพราะว่าต้องดูในแง่อัตราแลกเปลี่ยนด้วย แต่ในมุมลดภาระจะช่วยได้ ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยอาจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในช่วงถัดไป และให้ ธปท.เป็นผู้พิจารณา”

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเรื่องการลดดอกเบี้ยจะได้ผลจริงหรือไม่ และจะเกิดการกระตุ้นให้ก่อหนี้เพิ่มขึ้น ก่อหนี้เกินตัวหรือไม่นั้น นายดนุชา กล่าวว่าเป็นการมองว่าในแง่ภาระภาคครัวเรือน ถ้าดำเนินการควบคู่กันไปกับกำกับสินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อต่างๆ ให้เข้มข้น จะป้องกันไม่เกิดก่อหนี้เกินตัว ซึ่งต้องมีหลายมาตรการที่จะเข้าไป เพื่อกำกับไม่ให้เกิดผลกระทบเชิงลบด้วย