กรมส่งเสริมสหกรณ์ บี้สหกรณ์ออมทรัพย์ลดดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75 % สนองนโยบายรัฐ

กรมส่งเสริมสหกรณ์ บี้สหกรณ์ออมทรัพย์ลดดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75 % สนองนโยบายรัฐ

กรมส่งเสริมสหกรณ์ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75% ต่อปี หลังสหกร์มีสัดส่วนปล่อยกู้ 2 ล้านล้านบาทในจากหนี้สินครัวเรือนไทยทั้งหมด 16 ล้านล้านบาท

ปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจไทยมีหนี้สินครัวเรือนทั้งสิ้น 16 ล้านล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ปล่อยกู้จำนวนทั้งสิ้น 2 ล้านล้านบาท พบว่าสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ยังคงเผชิญปัญหาภาระหนี้สินจำนวนมาก จนเกินศักยภาพในการชำระหนี้คืน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีเงินได้ประจำที่เป็นบุคลากรของหน่วยงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ตามนโยบายรัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนผู้มีเงินได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมากเกินกว่าศักยภาพในการชำระหนี้ได้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงขานรับนโยบายดังกล่าว และเร่งดำเนินการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ

 

 

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ของสมาชิกสหกรณ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแก้ไขเร่งด่วน จึงได้ทำการออกหนังสือขอความร่วมมือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ไม่เกินอัตรา 4.75% ต่อปีหรือปรับอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงเพื่อช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือลดภาระการส่งชำระหนี้ตามที่แต่ละสหกรณ์กำหนด ซึ่งสหกรณ์ที่จะดำเนินการต้องพิจารณาถึงต้นทุนทางการเงินของตนเองก่อนการดำเนินการ

และได้ออกประกาศกรมส่งเสริมสหกรณ์ เรื่องแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินสำหรับสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อให้สหกรณ์พิจารณาจัดทำโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อช่วยเหลือผ่อนปรนภาระหนี้สินแก่สมาชิก ให้สมาชิกมีเงินได้รายเดือนคงเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างน้อย 30% ของเงินได้รายเดือน

กรมส่งเสริมสหกรณ์ บี้สหกรณ์ออมทรัพย์ลดดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75 % สนองนโยบายรัฐ

 

ซึ่งประโยชน์ของการดำเนินโครงการคือ สมาชิกจะได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขยายงวดการชำระหนี้ไปจนถึงอายุ 75 ปี และสามารถนำหุ้นที่มีอยู่กับสหกรณ์มาคำนวณงวดชำระหนี้โดยผ่อนเฉพาะส่วนที่เกินจากมูลค่าหุ้น เมื่อสมาชิกผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวจนหมดแล้วสมาชิกก็จะเหลือภาระหนี้เท่ากับหุ้นของตนเองเมื่ออายุ 75 ปีทำให้สมาชิกสหกรณ์มีรายได้รายเดือนคงเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพตามสมควร

“ยกตัวอย่าง เช่น เดิมสหกรณ์กำหนดให้สมาชิกชำระหนี้ให้แล้วเสร็จไม่เกินอายุ 60 ปี ปัจจุบัน สมาชิก ผู้กู้มี อายุ 50 ปี มีทุนเรือนหุ้นอยู่กับสหกรณ์ 500,000 บาท ก่อนเข้าโครงการต้นเงินกู้ที่ต้องผ่อนชำระ 1,500,000 บาท จำนวนงวดที่ต้องชำระ 120 งวด อัตราดอกเบี้ย 5.75% ต่อปี มียอดต้องชำระหนี้รวมดอกเบี้ยต่อเดือน 16,465 บาท

แต่หลังจากเข้าร่วมโครงการแล้ว นำหุ้นที่มีอยู่กับสหกรณ์มาพักหนี้ จึงเหลือต้นเงินกู้ที่ต้องผ่อนชำระเหลือ 1,000,000 บาท และสหกรณ์ขยายงวดชำระหนี้ไปจนถึงอายุ 75 ปี จึงมีงวดชำระหนี้จำนวน 300 งวด ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ  4 .75 %ต่อปี ดังนั้น สมาชิกจึงมีภาระที่ต้องผ่อนชำระหนี้รวมดอกเบี้ยต่อเดือน 7,680.34 บาท สมาชิกจึงได้รับประโยชน์จากการมีรายได้รายเดือนคงเหลือที่เพิ่มขึ้น เพียงพอต่อการดำรงชีพ” นายวิศิษฐ์ กล่าว

นายวิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าวจึงเป็นการช่วยลดภาระการส่งชำระหนี้ของสมาชิก รวมถึงสหกรณ์จะได้รับการชำระหนี้ลดปริมาณหนี้เสีย ทำให้ไม่ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ นอกจากนี้ สหกรณ์ที่จัดทำโครงการดังกล่าวจะได้พิจารณาเข้าร่วมอบรมโครงการสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นองค์กรวางแผนการเงินแก่สมาชิก

โดยสมาชิกจะได้รับความรู้ด้านการวางแผนการเงินให้เหมาะสม เพื่อให้เป็นรากฐานชีวิตให้มั่นคงต่อไปในอนาคต อีกทั้ง ได้รับความร่วมมือจากธนาคารออมสิน สนับสนุนโครงการสินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อแก้ไขหนี้บุคลากรภาครัฐ ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่สมาชิกสหกรณ์ ซึ่งทางกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้แจ้งให้หน่วยงานในพื้นที่ทั่วประเทศแจ้งให้สหกรณ์ออมทรัพย์ทราบแล้ว

ทั้งนี้ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินแก่สมาชิกสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงินแก่สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการ สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้มีคำแนะนำเรื่องการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมเพื่อป้องกันปัญหาหนี้สินแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ไปแล้ว