“ภูมิธรรม” โชว์ผลงาน พาณิชย์ยุคใหม่ดูแลเกษตรกร ดันพืชเกษตรทุกตัวราคาพุ่ง

“ภูมิธรรม” โชว์ผลงาน พาณิชย์ยุคใหม่ดูแลเกษตรกร ดันพืชเกษตรทุกตัวราคาพุ่ง

“ภูมิธรรม”แถลงผลงาน 6 เดือนดูแลราคาสินค้าเกษตร ดันราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นทุกรายการ ทั้งข้าว มัน ปาล์ม ข้าวโพด ยางพารา พร้อมแก้ปัญหาทั้งระบบ ลั่นดันขายข้าวจีทูจีให้อินโดนีเซีย แย้มยังมีเจรจาขายข้าวอีกหลายประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า  นับตั้งแต่เดือนก.ย.2566 ที่รัฐบาลเศรษฐา ได้เข้ามาบริหารประเทศ และตนได้เข้ามากำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการกำหนดมาตรการในการดูแลราคาสินค้าเกษตรสำคัญทันที ซึ่งหลายมาตรการต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้วได้ดำเนินการต่อ  แต่ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จนสามารถผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียว เพิ่ม 12% มันสำปะหลัง เพิ่ม 49% ปาล์มน้ำมัน เพิ่ม 9% ยางพารา ยางแผ่นดิบ เพิ่ม 22% ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่ม 6% พืชหัว เช่น หอมแดง เพิ่ม 27% ผลไม้ เช่น มังคุด เกรดมันรวม ราคาสูงสุด 100 บาท/กิโลกรัม (กก.) ทุเรียน เกรด AB ราคาสูงสุด 205 บาท/กก. ส้มเขียวหวาน 22 บาท/กก เพิ่มขึ้น 57% เป็นต้น

“ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ด้วยความเข้าใจในสินค้าและความใส่ใจในปัญหาของพี่น้องประชาชน เอาวิทยาการการบริหารจัดการ และความเข้าใจของแต่ละองค์กรทุกหน่วยงานช่วยกันแก้ไขปัญหาในทุกระยะ ขอบคุณความตั้งใจในการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้วิธีคิดที่นอกกรอบ หากลไกมาพัฒนาสิ่งที่เป็นอยู่ ทำให้สามารถสำเร็จได้ ถ้าเรารู้จักคิดและรู้จักทำ”

ทั้งนี้แนวนโยบายการดูแลสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์ยุคใหม่ ประกอบด้วย การวางแผนล่วงหน้าจัดการผลผลิตในแต่ละช่วงเวลา เพื่อพยากรณ์อนาคตได้ บริหารจัดการผลผลิตล่วงหน้าทำให้ราคามีเสถียรภาพ มีการใช้ความร่วมมือระหว่างกรมการค้าภายใน และไปรษณีย์ไทย ระบายสินค้าเกษตร มีการจัดทำ Directory สินค้าผลไม้ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ทราบทั้งปริมาณและผลผลิตของพืชเกษตรแต่ละชนิดในแต่ละพื้นที่ พร้อมวางระบบติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตร เพื่อรับมือแก้ปัญหาล่วงหน้า

ศึกษาโครงสร้างต้นทุนและราคาสินค้าเกษตรให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์อย่างสมดุล แก้ปัญหาทั้งระบบ มีการเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร เช่น พัฒนาพันธุ์ข้าว ส่งเสริมการปลูกสินค้าเกษตร แก้ปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังร่วมกับภาคเอกชน เพราะมันสำปะหลัง มีความต้องการมากในตลาดโลก ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกเป็นลำดับต้นของโลก แต่เรายังผลิตได้ต่ำกว่าความต้องการของตลาดโลกถึง 20% ตนได้ประชุมกับสมาคมมันสำปะหลังที่โคราช เราจะร่วมมือกับเอกชนทุกภาคส่วน แก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อร่วมกันหาทางออก รวมไปถึงการทำน้อยได้มาก พัฒนาศักยภาพเกษตรกร Smart Farmer ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ภาคเกษตรไทยสามารถเติบโต เปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืนสร้างผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหม่ และดูแลเกษตรกรรุ่นเก่า ให้ทั่วถึงก้าวทันโลก

 

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับการเจรจาขายข้าวจีทูจีให้รัฐบาลอินโดนีเซียนั้น กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าต่อให้สำเร็จ เพราะเป็นเรื่องที่ระดับผู้นำของ 2 ประเทศเจรจากันไว้แล้ว และได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศเจรจาให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนมี.ค.นี้ เพราะข้าวฤดูกาลใหม่ของไทยกำลังจะออกในเดือนมี.ค.นี้แล้ว จำเป็นต้องเร่งหาตลาดรองรับ เพื่อให้ราคาข้าวในประเทศมีเสถียรภาพ

“นั่นเป็นความคิดของผู้ส่งออก ผมคิดแบบผู้ชนะ ไม่ยอมแพ้ ไม่เคยมีความคิดจะหยุด ผู้นำของ 2 ประเทศคุยกันไว้แล้วว่าต้องการแบบนี้ ก็ต้องทำให้สำเร็จ เรากำลังทำงาน และเชื่อว่า อินโดนีเซียมีความต้องการนำเข้าข้าวจากไทยจริง การจะขายข้าว ไม่ใช่ดูที่ราคาอย่างเดียว ราคาข้าวไทยอาจสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่คุณภาพเราไม่เป็นรองใคร”

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่สนใจจะซื้อข้าวไทยแบบจีทูจี ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการเจรจา ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีประเทศใดบ้าง เพราะหากเปิดเผยแล้ว คู่แข่งอาจรีบขายแข่ง