จับชีพจรส่งออกไทยไปจีนปี 67 เมื่อจีนเจอมรสุมเศรษฐกิจ

จับชีพจรส่งออกไทยไปจีนปี 67 เมื่อจีนเจอมรสุมเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจจีนปี 67 ยังซึม ส่งผลกระทบต่อส่งออกไทยไปจีน “วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา “ แนะไทยเตรียมความพร้อม ขยายตลาดรองรับความเสี่ยง ขณะที่ไทยส่งออกไปจีนปี 66 มูลค่า 1.17 ล้านล้านบาท หดตัว 1.3%

Key Points

  • ตัวเลขเงินเฟ้อจีนที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 14 ปี
  • ส่งออกของจีนรายปีลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 การส่งออกของจีนลดลงทั้งปีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016
  •  ดัชนีราคา ของ GDP หรือที่เรียกว่า GDP Deflator หดตัวต่อเนื่อง

 

การส่งออกไทยทั้งปี 2566 (ส่งออกไทย ปี66) หดตัว 1.0% และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 0.6%ไทยขาดดุลการค้าอยู่ที่ 302,926 ล้านบาท แต่นับว่าดีขึ้นจากปี 2565 ที่ขาดดุล 612,569 ล้านบาท

ตลาดส่งออกจากไทยสูงสุด ปี 66  (หน่วยล้านบาท)  ได้แก่

  • อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 2.2%
  • อันดับ 2 จีน ลดลง 1%
  • อันดับ 3 ญี่ปุ่น ลดลง 0.57 %
  • อันดับ 4 ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 7.54%
  • อันดับ 5 มาเลเซีย ลดลง 6.8%

ตลาดนำเข้าโดยไทยสูงสุด ปี 66  (หน่วยล้านบาท)  ได้แก่

  • อันดับ 1 จีน ลดลง 0.6%
  • อันดับ 2 ญี่ปุ่น ลดลง 10%
  • อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น  8.9 %
  • อันดับ 4 ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 40%
  • อันดับ 5  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลดลง 4.9%

เมื่อโฟกัสไปยัง "ประเทศจีน" ซึ่งถือเป็นประเทศคู่ค้าของไทยที่มีความสำคัญทั้งด้านการส่งออกและการนำเข้า โดยเป็นอันดับ 1 ที่ไทยนำเข้ามากที่สุด และเป็นอันดับ 2 ที่ไทยส่งออกไปมากที่สุดเช่นกัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่าน ไทยขาดดุลการค้าจีน

ปี 2566 ไทยส่งออกไปจีนมูลค่า 1.17 ล้านล้านบาท หดตัว 1.3%

ปี 2566 ไทยนำเข้าจากจีนจีนมูลค่า 2.47 ล้านล้านบาท หดตัว 0.6 %

ปี 2566 ไทยขาดดุลการค้าที่มูลค่า 1.29 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.1% เมื่อเทียบกับปี 2565

จับชีพจรส่งออกไทยไปจีนปี 67 เมื่อจีนเจอมรสุมเศรษฐกิจ

ด้านมูลค่าการนำเข้าของไทยจากจีนมีมูลค่า 2.47 ล้านล้านบาท ภาพรวมลดง ที่ 0.6 % โดยกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้า ลดลง ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบ และกึ่งสำเร็จรูป ส่วนกลุ่มที่มีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้นได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค และ สินค้ากลุ่มอาหาร

สินค้าที่ไทยนำเข้ามาก 10 อันดับ ได้แก่ 

  • เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ
  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 
  • เคมีภัณฑ์
  • เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
  • เครื่องคอมพิวเตอร์
  • อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้า
  • ผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและ
  • ผลิตภัณฑ์ รถยนต์โดยสารและ รถบรรทุก
  • ผลิตภัณฑ์โลหะ 
  • ผลิตภัณฑ์ท จากพลาสติก    

สินค้าเกษตรและอาหารที่ไทยนำเข้ามากได้แก่

  • ผัก
  • ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก
  • ผลไม้ 
  • เนื้อสัตว์หรับการบริโภค
  • สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่ แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ 
  • ขนมหวานและช็อกโกแลต
  • ข้าวและผลิตภัณฑ์ากแป้ง 
  • กาแฟ ชา เครื่องเทศ เครื่องดื่ม 

สินค้าที่ปี 2566 มีการนำข้ามากขึ้นจากปี 2565 ได้แก่

  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ  
  • รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก
  • ผลิตภัณฑ์โลหะ 
  • ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก
  • ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก 
  • ขนมหวานและช็อกโกแลต เป็นต้น     

ไทยส่งออกสินค้าไปจีน มาก 10 อันดับแรกได้แก่ 

  • ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง
  • ผลิตภัณฑ์ยาง
  • เม็ดพลาสติก
  • ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
  • เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
  • สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ
  • ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา  
  • เคมีภัณฑ์ สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่น ๆ   

จับชีพจรส่งออกไทยไปจีนปี 67 เมื่อจีนเจอมรสุมเศรษฐกิจ

การส่งออกไทยไปจีน ปี 2567 ไทยยังคงต้องเผชิญความท้าทายจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจีน แม้ว่า เศรษฐกิจจีนในภาพรวมยังคงขยายตัวแต่เป็นการขยายแบบชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่าปี 67  เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4-5 % 

“วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า  จีนยังคงเผชิญอุปสรรค เนื่องจากอุปสงค์ การอุปโภคบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชนยังคงอ่อนแอ  โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ ที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 14 ปี โดยลดลง 0.3% ในเดือน ธ.ค. ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และลดลงติดต่อกันยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ปี 2009 การส่งออกของจีนรายปีลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 ขณะที่ตัวเลขการขยายตัวจีดีพี ที่อยู่ที่ 5.2% ทั้งในไตรมาส 4/2023 และทั้งปี ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด แต่ที่ต้องกังวล คือ ดัชนีราคา ของ GDP หรือที่เรียกว่า GDP Deflator หดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนซึมเซาและวิกฤตเงินฝืดยังคงดำรงอยู่ต่อเนื่อง

ส่วนผลกระทบการส่งออกของไทยนั้น “วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา”  มองว่า  การส่งออกซึ่งจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะด้านการส่งออก ดังนั้นเศรษฐกิจของจีนย่อมส่งผลต่อกำลังซื้อของคนในประเทศจีน และส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนมาก  

“ไทยจึงมีการเตรียมความพร้อม ขยายตลาดรองรับความเสี่ยง อาทิให้ความสำคัญกับตลาด ‘อินเดีย’ มากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มี ลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับจีนและยังต้องการสินค้าจากไทย และมีการเจรจาลดอุปสรรคทางการค้า จัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออก มากกว่า 400 กิจกรรมในประเทศต่างๆ ทั้งการบุกตลาดเมืองรอง และการขับเคลื่อนการเจรจา FTA เพื่อผลักดันการส่งออกไทยให้เติบโต ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย