ส่องแผนการค้าชายแดน-ผ่านแดนดันการค้าฟื้นตัว 

ส่องแผนการค้าชายแดน-ผ่านแดนดันการค้าฟื้นตัว 

พาณิชย์ วาง 4 ยุทธศาสตร์  ผลักดันการค้าชายแดน-ผ่านแดน   ตั้งเป้ามูลค่า 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570  เร่งตั้งศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ใน 10 จังหวัดที่มีมูลค่าค้าชายแดนสูง ด้าน “ภูมิธรรม”เน้นเอกชนทัพหน้า ราชการแรงหนุน พร้อมแก้ไขระเบียบที่เป็นอุปสรรค

ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ถือเป็นส่วนหนึ่งในตัวเลขการส่งออกรวมของไทย  โดยในแต่ละปีการค้าชายแดนและผ่านแดนจะมีมูลค่ารวมล้านล้านบาทขึ้นไป ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนเพิ่มขึ้นเรื่อยจากปี 2560 มีมูลค่า 1,354,468  ล้านบาท มาถึงปี 2565  มูลค่าพุ่งขึ้นไปถึง 1,788.344 ล้านบาท แม้ว่าภาพรวมมูลค่าจะสูงขึ้นทุกปีแต่เมื่อโฟกัสลงไปในรายละเอียดจะพบว่า  ในส่วนของการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ  คือ สสป.ลาว, เมียนมา,มาเลเซียและกัมพูชา กลับลดลงเนื่องจากการปิดด่าน ปัญหาการขนส่ง ระบบโลจิสติกส์  การเปลี่ยนไปขนส่งทางเรือและทางอากาศแทน  ส่วนการค้าผ่านแดนขยายตัวโดยเฉพาะประเทศจีน  อย่างไรก็ตามการค้าชายแดนและผ่านแดนก็ ยังมีความสำคัญในด้านการค้าของไทยในภูมิภาคนี้ 

ล่าสุดคณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดนตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน เป็น 2 ล้านล้านบาท ภายใน 3 ปี  ระหว่างปี  2567 – 2570    โดยวาง 4 ยุทธศาสตร์ เพื่อผลักดันการค้าชายแดนและผ่านแดน ประกอบด้วย 

1.พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้า 

2.ยกระดับศักยภาพและการอำนวยความสะดวกของด่านชายแดน 

3.ส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงและกรอบความร่วมมือต่าง ๆ 

4.ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแต่ละยุทธศาสตร์ย่อย 

โดยแผนการดำเนินการที่วางไว้เบื้องต้นเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย  ประกอบด้วย การยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นจุดผ่านแดนถาวร 3 แห่ง ได้แก่  จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์  ,  จุดผ่อนปรนการค้าบ้านห้วยต้นนุ่น จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งจะเร่งเจรจากับฝ่ายเมียนมารับรองผลการสำรวจเขตแดนร่วม (Joint Detail Survey: JDS) ของด่านสิงขร และเร่งจัดทำ JDS ของด่านบ้านห้วยต้นนุ่น และ จุดผ่อนปรนการค้าบ้านซับตารี จ.จันทบุรี ซึ่งล่าสุด ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการยกระดับฯ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป แก้ไขข้อจำกัดต่างๆให้เดินหน้าได้ 

รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการนำเข้าและส่งออกสินค้า โดยเฉพาะด่านพรมแดนแม่สอด แห่งที่ 2 จ.ตาก ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างจุดเอกซเรย์ด้านนอก และแขวงทางหลวงตากที่ 2 (แม่สอด) ได้กำหนดจุดจอดตรวจสอบเอกสารและตอนนี้ทางด่านได้เริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ 6 โมงเช้าเป็นต้นไป เพื่อบรรเทาความแออัด 

เร่งผลักดันเรื่องการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ของประเทศเพื่อนบ้าน ได้มีการเอาระบบ digital มาช่วย แต่ยังมีบางประเทศที่ยังติดขัด โดยได้รับการแก้ไขแล้ว 5 ประเทศได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย  สปป.ลาว และเมียนมา ที่เหลืออยู่คือฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไข  

พร้อมกันนี้ให้เร่งตั้งศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ในจังหวัดที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงจำนวน 10 จังหวัด มีความพร้อมจัดตั้งได้ทันที 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย ตาก ตราด และสงขลา และมีความพร้อมดำเนินการจัดตั้งได้ภายใน 3 เดือน 4 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย อุดรธานี นครพนม และมุกดาหาร ส่วนจังหวัดจันทบุรีอยู่ระหว่างขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ และจังหวัดสระแก้วอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารศุลกากรบ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท คาดว่าจะสามารถจัดตั้งศูนย์ OSS ใน 2 จังหวัดดังกล่าวได้ในปี 2568 ส่วนการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติมนั้นจากปัจจุบันมีจุดผ่านแดนฝั่งไทยเปิดแล้ว 86 แห่ง จากทั้งหมด 95 แห่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิด 73 แห่ง  

 “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน เน้นย้ำถึงการทำงาน  ว่า ให้ภาคเอกชนจะเป็นทัพหน้าเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม รู้และเข้าใจปัญหาโดยรวม รัฐเป็นผู้สนับสนุนคอยแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจการ 

สำหรับตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ปี 2566 (เดือนม.ค.-ต.ค. 2566) มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน 1,451,068 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 825,248 ล้านบาท และการนำเข้ามูลค่า 625,820 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้า 199,427 ล้านบาท 

ล่าสุดเดือนต.ค. 2566 มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน 139,695 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 70,042 ล้านบาท และการนำเข้ามูลค่า 69,653 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนต.ค. 2566 ทั้งสิ้น 389 ล้านบาท 

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า  การค้าชายแดนในเดือนต.ค.2566 หดตัวเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีความเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว ที่อัตราเงินเฟ้อสูงและค่าเงินกีบยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์การสู้รบในเมียนมา ส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปยังทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว ซึ่งมากกว่า 80% เป็นการค้าชายแดน โดยการส่งออกชายแดนไป สปป.ลาว และเมียนมา หดตัว 14.5% และ 9.9% ตามลำดับ  

ในขณะที่การส่งออกผ่านแดนไปจีนขยายตัว 9.0% ซึ่งขยายตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ทุเรียนสด 2,206 ล้านบาท ขยายตัว 162.8%  ไม้แปรรูป 1,990 ล้านบาท ขยายตัว131.7%  และยาง T.S.N.R. 1,476 ล้านบาท ขยายตัว 48.7%) 

การวางยุทธศาสตร์การค้าชายแดน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน ถือเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันการค้าชายแดนและผ่านแดนให้ฟื้นตัวกลับมาคึกคักเหมือนเดิม ทำให้เพิ่มตัวเลขการส่งออกไทยได้อีกทางหนึ่ง