สนค.วิเคราะห์ 'ขึ้นค่าไฟฟ้า' แบบก้าวกระโดดเสี่ยงทำเงินเฟ้อ-ต้นทุนเพิ่ม

สนค.วิเคราะห์ 'ขึ้นค่าไฟฟ้า' แบบก้าวกระโดดเสี่ยงทำเงินเฟ้อ-ต้นทุนเพิ่ม

สนค.วิเคราะห์ผลกระทบปรับขึ้นค่าไฟ ค่าเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย ส่งผลกระทบทำอเงินเฟ้อสูง ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการ เผย5 สินค้าและบริการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด “ น้ำแข็ง ค่าห้องพักโรงแรม  น้ำประปา  เสื้อผ้า และ  ผ้าอ้อมเด็ก “

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า  สนค. ได้วิเคราะห์ “ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปและต้นทุนในระบบเศรษฐกิจ” พบว่า หากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย (เท่ากันทั้งครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม) จากระดับปัจจุบัน ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17.29 %จะส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ทั้งอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ต้นทุนผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดอยู่แล้ว

เนื่องจากค่ากระแสไฟฟ้าเป็นปัจจัยการผลิตต้นน้ำที่สำคัญ หากมีการปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าจะส่งผ่านผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั้งกลางน้ำและปลายน้ำ ผ่านการส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม (direct and indirect effect) ได้เป็นวงกว้าง 

ขณะที่ในมิติของสินค้าที่ครัวเรือนบริโภคนั้น ค่ากระแสไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง3.90 %ของค่าใช้จ่ายครัวเรือน  

สนค.วิเคราะห์ \'ขึ้นค่าไฟฟ้า\' แบบก้าวกระโดดเสี่ยงทำเงินเฟ้อ-ต้นทุนเพิ่ม

ในมิติของต้นทุน ไฟฟ้าเป็นต้นทุนของภาคการผลิตและบริการทั้งในระดับต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยมีสัดส่วน2.51% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด (ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต, Input-Output Table) โดยสาขาการผลิตที่มีการใช้ไฟฟ้าเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับต้นทุนรวม ได้แก่

  • การผลิตน้ำแข็ง 29.88%
  • โรงแรมและที่พักอื่น  17.12%
  • สถานที่เก็บสินค้าและการเก็บสินค้า 16.90%
  • การประปา 14.30%
  • การผลิตซีเมนต์ 12.13%
  • การปั่นด้าย การหีบฝ้าย และเส้นใยประดิษฐ์ 12.11% 

ดังนั้น การปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าทั้งระบบ ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคครัวเรือน  17.29 % ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งต้นทุนการผลิตและการบริโภคของครัวเรือนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยภาคการผลิตและบริการจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น1.65% และภาคครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 0.66 %ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมทันที 0.66 %และมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.62 %หากมีการส่งผ่านต้นทุนการผลิตและบริการไปยังสินค้าขั้นสุดท้ายในระยะต่อไป โดย 5 สินค้าและบริการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ประกอบด้วย  น้ำแข็ง ค่าห้องพักโรงแรม  น้ำประปา  เสื้อผ้า และ  ผ้าอ้อมเด็ก 

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทำให้ค่าเช่าบ้านและอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะราคาอาหารสำเร็จรูปเป็นผลจากค่าเช่าพื้นที่หรือค่าเช่าตลาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง ควรเฝ้าระวังและติดตามภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างสูงจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหรือบริการที่มีการแข่งขันสูง มีสภาพคล่องต่ำ การเติบโตทางรายได้และผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงมีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นจำนวนมากในอุตสาหกรรมดังกล่าว

สนค.วิเคราะห์ \'ขึ้นค่าไฟฟ้า\' แบบก้าวกระโดดเสี่ยงทำเงินเฟ้อ-ต้นทุนเพิ่ม

 

 

โดยจากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้วิเคราะห์กลุ่มที่มีอัตราส่วนสภาพคล่องต่ำกว่า 1 และวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมที่ยังคงติดลบ (หรือขาดทุน) ในปี 2565 เช่น 1.โรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่-12.6 %โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อย (Micro SME) เป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนนิติบุคคลทั้งหมด 

2. เกสต์เฮ้าส์ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ -7.4 โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยสูงถึง 80 %

3.การผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -3.5 %โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยคิดเป็นสัดส่วน12.2 %

4. การทอผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่-2.1 %โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยอยู่ที่ 47.5 %

5.การผลิตจักรยาน มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -1.1 %โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยอยู่ที่ร้อยละ 31.5 

ดังนั้นการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้า ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น

“ การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในอัตราที่ก้าวกระโดด และใช้อัตราค่าไฟดังกล่าวต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การทยอยปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างเหมาะสม และรัฐบาลมีมาตรการลดค่าครองชีพอื่น ๆ จะช่วยลดภาระของประชาชน ขณะที่ ควรหลีกเลี่ยงการปรับค่าไฟฟ้าสำหรับภาคธุรกิจในช่วงที่ต้นทุนอื่น ๆ กำลังทยอยปรับเพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น” นายพูนพงษ์ กล่าว