‘เศรษฐา’ เร่งปิดดีลบิ๊กคอร์ป ลุ้น ‘Tesla’ ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ ตั้งฐานผลิตEV

‘เศรษฐา’ เร่งปิดดีลบิ๊กคอร์ป ลุ้น ‘Tesla’ ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ ตั้งฐานผลิตEV

‘เศรษฐา’ เร่งปิดดีล ‘บิ๊กคอร์ป’ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายลงทุนไทย เผยลุ้น ‘Tesla’ ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ ตั้งฐานผลิตEV หลังบริษัทส่งผู้บริหารระดับสูง ที่เป็นผู้ดูแลเรื่องการลงทุนตั้งโรงงานเข้ามาประเทศไทย นายกฯพาร่วมงานยี่เป็งเชียงใหม่ สัมผัสวัฒนธรรมไทย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการ “เนชั่นอินไซด์” กับ "เครือเนชั่น" โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงการดึงบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยว่า ซึ่งในช่วงเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมาได้เดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งเพื่อพบหากับผู้นำประเทศและนักธุรกิจชั้นนำสำหรับความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคธุรกิจนั้นรัฐบาลมีการลงนามเอ็มโอยูไปหลายฉบับซึ่งต้องมีการติดตามต่อเนื่องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ยอมรับว่า ความร่วมมือด้านต่าง ๆ ยังมีรายละเอียดอื่นที่ต้องสานต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีมูลค่าบริษัทเป็นหลักล้านล้านบาท เมื่อถึงเวลาที่จะลงนามอะไรไป ส่วนตัวเชื่อว่าเขาต้องตั้งใจจริงที่จะร่วมมือในด้านการลงทุนกับประเทศไทยอย่างแน่นอน

‘เศรษฐา’ เร่งปิดดีลบิ๊กคอร์ป ลุ้น ‘Tesla’ ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ ตั้งฐานผลิตEV

นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยด้วยว่าในส่วนของ บริษัทเทสลา (Tesla) ซึ่งเป็น บริษัทยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ พร้อมเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นเงินลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์  โดยในช่วงต้นสัปดาห์นี้ผู้บริหารอันดับ 2 ที่ดูแลเรื่องการลงทุนของ Tesla โดยเฉพาะจะเข้ามาดูทำเลที่ตั้งของโรงงาน และพร้อมเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าประมาณ 3 ประเภทด้วยกัน ที่สำคัญรัฐบาลอยากให้เห็นคือการชักชวนเข้ามาลงทุนในไทยนั้นไม่ได้ต้องการแค่คุยด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการให้นักธุรกิจเห็นถึงประเพณีและวัฒนธรรมของไทยควบคู่ไปด้วย

โดยในการเดินทางเข้ามาครั้งนี้ตนจะพาผู้บริหารของ Tesla ไปดูเทศกาลงานประเพณีเดือนยี่เป็ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 27 พ.ย.ด้วย เพื่อให้เขาเข้าใจเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีของไทยซึ่งเป็นจุดแข็งอีกอย่างหนึ่งของเรา

 

อีกเรื่องที่สำคัญคือการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ โดยมีการเจรจาการค้ากับผู้นำประเทศเศรษฐกิจหลัก และภาคธุรกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ของโลก เช่นอะเมซอนเว็บเซอร์วิส (AWS)  Microsoft และ Google รวมทั้งบริษัทที่เริ่มต้นการเจรจาก็อีกหลายบริษัท เช่นเดียวกับหาช่องทางการเข้าไปสานสัมพันธ์กับบริษัทรายใหญ่ ซึ่งจากการทำงานของรัฐบาลตอนนี้นักธุรกิจทั่วโลกก็ได้รับรู้ว่าประเทศไทยเปิดต้อนรับนักธุรกิจแล้ว และได้ยืนยันกับนักธุรกิจว่า ไม่มีเวลาไหนที่เหมาะสมจะเข้ามาลงทุนดีกว่าช่วงเวลานี้แล้ว

‘เศรษฐา’ เร่งปิดดีลบิ๊กคอร์ป ลุ้น ‘Tesla’ ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์ ตั้งฐานผลิตEV

“เรื่องการดึงดูดการลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นส่วนเสริมที่สำคัญ เพราะไม่ใช่มาตรการทางภาษี หรือว่าพลังงานสะอาด การบริหารจัดการน้ำ หรือนิคมอุตสาหกรรม แต่เป็นเรื่องของคนเมื่อจะมาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลสุขภาพ โรงเรียนนานาชาติ วัฒนธรรมประเพณี ซึ่งเขาต้องซึมซาบและต้องมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยประเทศไทยถือเป็นหมุดหมายสำคัญของบริษัท และเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในด้านนี้ด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนนั้น ได้ตั้งเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้ง ยานยนต์ฟ้า ดิจิทัล และเอไอ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมทันสมัย เพื่อให้คนไทยได้รับประโยชน์ในอนาคต โดยเชื่อว่า สภาพแวดล้อมของประเทศไทย รวมทั้งมาตรการทางด้านภาษี ผ่านการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8-15 ปี และพลังงานสะอาดที่เตรียมความพร้อมเอาไว้อย่างเต็มที่ จะเป็นจุดดึงดูดสำคัญให้นักลงทุนเข้ามาในประทศไทย และจุดแข็งที่สำคัญอีกอย่างของประเทศไทยปัจจุบันในสายตาของนักลงทุนทั่วโลกนั่นคือ ความมั่นคงทางด้านการเมือง

ส่วนนโยบายนายกฯ ที่ตั้งใจว่าจะเป็นเซลล์แมนของประเทศไทยนั้น นายกฯ ยอมรับว่า เรื่องนี้รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้สูงและท้าทาย โดยจะเป็นเป้าหมายในการตั้งใจทำงานหนัก ซึ่งตอนนี้ยังเป็นช่วงของการเริ่มต้นและยังมีอีกหลายเรื่องต้องพยายามเร่งทำงานให้หนัก

โดยตอนนี้ยังมีสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขหลายอย่าง เช่นการผลักดันการทำ Ease of Doing Business ต้องง่าย สะดวก รวดเร็ว มีหลักนิติธรรมที่ชัดเจน และรัฐบาลเห็นว่าการแก้ปัญหาหลาย ๆ เรื่อง ณ ตอนนี้อะไรที่ทำได้ก่อนก็ต้องเร่งทำออกมาให้ได้โดยเร็ว

“ในการทำงานยังเปรียบเทียบการทำงานกับรัฐบาลก่อนหน้านี้คงจะไปเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์เดิมที่รัฐบาลเดิมไปเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เห็นสายตาของต่างชาติที่เป็นมิตร และพร้อมที่จะลงทุน ในช่วงที่มีความตึงเครียดระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายประเทศ ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น  ผมได้เข้ามาสานต่อเจตนารมณ์จากรัฐบาลก่อน และทำให้เห็นจุดยืนของประเทศไทยมีความเป็นกลาง ไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง และมีความเชื่อในแนวทางว่าผู้บริสุทธิ์ต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสม และไม่ถูกรังแก หรือถูกคุกคาม เราเป็นประเทศไม่ใหญ่ แต่มีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศไทย เข้าใจจุดแข็งของประเทศไทย เราไม่ได้เป็นคู่แข่ง เราทำตัวพอประมาณของเรา ในการเป็นคู่ค้า อย่างนี้เขาก็สบายใจ ที่จะคุยกับเรา และบรรยากาศต่างๆในการคุยกับผู้นำ ก็ดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง”นายเศรษฐา กล่าว