อุตฯอาหารฝ่ามรสุมเศรษฐกิจทรุด ซ้ำผลสงคราม ปี 67 ส่งออกโตเด่น6.5%

อุตฯอาหารฝ่ามรสุมเศรษฐกิจทรุด  ซ้ำผลสงคราม ปี 67 ส่งออกโตเด่น6.5%

อุตสาหกรรมอาหารมีความเกี่ยวเนื่องตั้งแต่ระดับท้องถิ่น คือ เกษตรกร ซึ่งเป็นผู้ผลิตไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้แปรรูป และระดับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออก ดังนั้น หากภาคส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบภาคส่วนอื่นๆก็จะเดือดร้อนตามไปด้วย

องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร 3 องค์กร ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ,หอการค้าไทย และสถาบันอาหารได้เล่าถึงทิศทางธุรกิจท่ามกลางความกังวลต่างๆทั้งเศรษฐกิจและการเมืองโลกไว้อย่างน่าสนใจ

อุตฯอาหารฝ่ามรสุมเศรษฐกิจทรุด  ซ้ำผลสงคราม ปี 67 ส่งออกโตเด่น6.5%

  อุตฯอาหารฝ่ามรสุมเศรษฐกิจทรุด  ซ้ำผลสงคราม ปี 67 ส่งออกโตเด่น6.5%

  อนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วน พบว่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2566 มีมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.6% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรอาหารในหลายภูมิภาคลดลง จึงมีความต้องการสินค้าอาหารมากขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณการสำรองอาหารในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้

 

ในส่วนของประเทศไทย แม้ผลผลิตวัตถุดิบการเกษตรของไทยหลายรายการจะลดลง แต่สินค้าส่งออกไทยได้รับประโยชน์จากความต้องการและราคาตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้เกิดภัยแล้ง โดยเฉพาะข้าวและน้ำตาลทราย

อุตฯอาหารฝ่ามรสุมเศรษฐกิจทรุด  ซ้ำผลสงคราม ปี 67 ส่งออกโตเด่น6.5%

 

ตลาดภายในภูมิภาคอย่างจีน อาเซียนเดิม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม เป็นตลาดหลักที่ส่งผลทำให้ภาพรวมส่งออกอาหารไทยในปี 2566 ขยายตัว

“ผลไม้สด ข้าว และน้ำตาลทราย เป็นสินค้าหลักที่มูลค่าส่งออกขยายตัวสูง สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกที่หดตัวลงส่วนใหญ่ได้รับผล

กระทบทั้งจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และปัญหาวัตถุดิบการเกษตรที่มีผลผลิตลดลงและต้นทุนสูงขึ้น เช่น มันสำปะหลัง สับปะรด ปลาทูน่า ยกเว้นกุ้งที่มีราคาตกต่ำ”

ส่วนคาดการณ์ทั้งปี 2566 การส่งออกอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.55 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.5% ขณะที่การประเมินแนวโน้มส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2567 ทั้งภาคการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและอุตสาหกรรมการผลิตที่เน้นการส่งออก อุตสาหกรรมการผลิตที่มีตลาดในประเทศ จะขยายตัวโดดเด่นตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่ 

ขณะที่การส่งออกอาหารไทยในปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตามภาคบริการและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อเริ่มคลายตัวลงหลังทางการประเทศต่างๆ ใช้นโยบายการเงินเข้มงวดในช่วงก่อนหน้า 

"สินค้าอาหารไทยได้รับประโยชน์จากการที่ประเทศคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เช่นเดียวกับปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ผลผลิตการเกษตรลดลง ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินบาทผันผวนน้อยลงและยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยในปี 2567 เงินบาทที่คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ย 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ใกล้เคียงกับปี 2566 ตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งเป็นระดับที่จะเอื้ออำนวยต่อการส่งออกสินค้าอาหารไทย”

ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.5 – 2.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ภาคเกษตรในภาพรวมขยายตัวได้ คือ การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐอย่างต่อเนื่องความร่วมมือในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ความต้องการบริโภคพุ่ง เกษตรกรจัดการฟาร์มดี   นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคในประเทศ ภาคบริการ และการท่องเที่ยว ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามเฝ้าระวัง ทั้งจากอิทธิพลของลมมรสุมที่ทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ ปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี ความแปรปรวนของสภาพอากาศ การระบาดของโรค และแมลง อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรบางส่วน

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่รุมเร้า แต่อุตสาหกรรมอาหารของไทยยังเเข็งแกร่งจนทำให้ในปี 2566 ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2.47% จาก2.25% ปีก่อนหน้า ในขณะที่ประเทศจีนและเวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับไทย ส่วนอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย มีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกลดลง จากมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรอาหารหลายรายการเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารภายใน ปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก ปรับตัวดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 15 ของโลก

มหาอำนาจด้านอาหารของไทยกำลังกลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะช่วยพยุงการขับเคลื่อนประเทศไปได้แม้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆรุมเร้าก็ตาม