ความสามารถที่แท้จริงของเงินดิจิทัลที่คนมองข้าม

ความสามารถที่แท้จริงของเงินดิจิทัลที่คนมองข้าม

ท่ามกลางกระแสถกเถียงประเด็นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือ “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ทั้งประเด็นที่ว่ารายละเอียดโครงการนี้จะตรงปกอย่างที่หาเสียงไว้หรือไม่? งบประมาณจะมาจากไหน?  และจะทำโครงการนี้สำเร็จได้จริงหรือไม่?

คำตอบข้อ 1 ที่ยืนยันแล้ว ในความเห็นของผม รายละเอียดหลายประเด็นได้ทำการปรับให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น ขยายพื้นที่จาก 4 กิโลเมตร เป็นระดับอำเภอ ทำให้การใช้งาน “practical” มากขึ้น ใช้แอปเป๋าตังและพัฒนาระบบบล็อกเชนเพิ่มเข้าไป แทนการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ทำให้ประหยัดเวลาและงบประมาณได้มากกว่า ย้ายกลุ่มรายได้สูงให้ได้ e-Refund แทน ทำให้ประหยัดงบประมาณและกระตุ้นการหมุนของเงินจากคนกลุ่มนี้ได้ดีกว่า

ในขณะที่คำตอบข้อ 2 คืองบประมาณเกือบทั้งหมดของโครงการจะมาจากการกู้ ซึ่งอาจขัดใจหลายคน โดยผลโพลศรีปทุม-ดีโหวต 49.5% ระบุว่าสนับสนุนนโยบายนี้ แต่ต้องไม่กู้เงินมาทำ

แต่ในเมื่อฟันธงว่าจะทำแน่นอนแล้ว สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือเรื่อง “ความสำเร็จ” ของโครงการว่าคุ้มค่าหรือไม่ แน่นอนว่าถ้ายิ่งกู้มาก ต้นทุนยิ่งสูงขึ้น ความคาดหวังในผลตอบแทนก็ย่อมสูงขึ้นตาม

ความคาดหวังที่ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต เกิดตัวคูณหรือถึงขั้นเป็นพายุหมุนอย่างที่หาเสียงไว้ คือสิ่งที่ผู้ดำเนินนโยบายนี้ต้องตระหนัก ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้คือ ประเภทของการใช้เงินที่ทำให้ทิศทางการไหลของเงินถูกที่และเกิดจำนวนรอบการหมุนสูง เช่น ไหลไปยังรายย่อยก่อนหลาย ๆ  รอบ แม้สุดท้ายปลายทางอาจต้องเข้ากระเป๋าผู้ผลิตรายใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เข้าเลยทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้ามีการเก็บดาต้าโดยละเอียดก็วัดผลได้ไม่ยาก

โพลศรีปทุม-ดีโหวต ยังพบว่า 40.2% อยากรวมเงินกับครอบครัวไปสร้างบ้าน สร้างธุรกิจ และ 30.5% อยากรวมกับเพื่อนหรือชุมชนเพื่อสร้างธุรกิจหรือโครงการเป็นประโยชน์ นี่เป็นสัญญาณที่ดีที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเงินนี้สามารถนำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวขึ้นได้ การใช้เงินประเภทนี้ล่ะครับ ที่ทำให้เกิดตัวคูณสูง และเป็นประเภทการใช้เงินที่รัฐบาลควรสนับสนุนมากที่สุด

ยิ่งถ้าระบบบล็อกเชนถูกนำมาใช้ในการออกแบบเงื่อนไขการใช้เงินให้เกิดตัวคูณ และเก็บข้อมูลการไหล-รอบการหมุน นำมาคำนวณให้ชัดเจนและเปิดเผยอย่างโปร่งใส เหมือนเหรียญ Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลแรกของโลก เราสามารถดูได้เลยว่าเหรียญที่เราถืออยู่นี้ ได้ถูกเปลี่ยนมือไปไหนมาบ้างนับตั้งแต่วันที่มันถูกสร้างให้เกิดขึ้นมาบนระบบบล็อกเชน ข้อมูลนี้ก็ถูกนำมาคำนวณการไหลของเงินเพื่อประโยชน์ของผู้ถือเหรียญนี้อยู่ตลอด

Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือ “สกุลเงินดิจิทัลจากแบงค์ชาติ” เป็นเทคโนโลยีที่หลายประเทศ รวมถึงไทย กำลังพัฒนาและทดสอบมาหลายปี CBDC ก็เหมือนเงินบาทปกติที่ออกโดยแบงค์ชาติเนี่ยล่ะครับ เพียงแต่เปลี่ยนตัวกลางที่ใช้ เปลี่ยนจากเทคโนโลยีพิมพ์กระดาษหรือขึ้นรูปโลหะ เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลล้วน ๆ  ซึ่งเพราะใช้ Blockchain จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลต่าง ๆ  ปลอมแปลงได้ยากไม่แพ้กระดาษหรือโลหะ โดยประโยชน์ของ CBDC คือ

1. ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น การโอนเงิน การจ่ายเงินกันระหว่างบุคคล ก็สามารถทำได้แม้ไม่มีบัญชีธนาคารก็ตาม ซึ่งการที่คนทุกระดับสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้ง่ายขึ้น เข้าถึงเงินทุน-การลงทุนคุณภาพสูง ที่แต่เดิมเข้าถึงได้เฉพาะผู้มีความมั่งคั่งสูง ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะลดลง

2. ธุรกรรมระหว่างประเทศสะดวกขึ้น ใครค้าขายลงทุนกับต่างชาติ หรือไปเที่ยวต่างประเทศก็สะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องแลกเงินสดไปไม่พอ พก CBDC ไปใช้ได้เลย

3. ลดต้นทุนในการจัดการเงินสด ตั้งแต่การผลิต-เก็บ-ขนส่ง ร้านค้าได้เงินสดมาก็ไม่จำเป็นต้องฝากกับธนาคาร เก็บเองให้ปลอดภัยทำได้ง่ายกว่าเดิม (ลองนึกถึงการเก็บ Bitcoin ใน hardware wallet)

4. ติดตามการไหลของเงินในระบบเศรษฐกิจได้ง่าย ป้องกันการฟอกเงิน อาชญากรรม คอรัปชั่น และข้อมูลนี้ยังใช้ในการวางนโยบายด้านการคลังให้ดีขึ้นอีกได้ ถ้าบุคคลมีข้อมูลกระแสเงินที่พิสูจน์ได้ชัดเจน ต่อไปจะทำเรื่องกู้ ก็ไม่ต้องเตรียมเอกสารเยอะ ผู้ให้กู้ก็ไม่ต้องระแวงว่าเอกสารจะปลอม เพราะข้อมูลเชื่อมโยงกันและเชื่อถือได้

ทั้งนี้ CBDC ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาหรือออกแบบให้ดีก่อนการใช้จริง เช่น ความรวดเร็วในการทำธุรกรรม การเข้ารหัสและออกแบบองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน การควบคุมเสถียรภาพการเงิน และผลกระทบที่จะมีกับ stakeholders ต่าง ๆ  ที่ต้องปรับตัว

แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตนี้ อาจไม่จำเป็นต้องใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีมากเท่ากับ CBDC แต่อย่างน้อยความสามารถของบล็อกเชนด้านความโปร่งใส การตรวจสอบเส้นทางได้ และการกระจายศูนย์ซึ่งนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ เป็นสิ่งที่โครงการที่กำลังจะเป็นก้าวแรกของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ไม่ควรมองข้ามและควรปูทางไปสู่สิ่งเหล่านั้น

การที่ต้องกู้เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน บางคนอาจมองว่าปัญหาเศรษฐกิจในตอนนี้ไม่ถึงกับเร่งด่วนที่ต้องมากระตุ้น แต่ผมมองว่าปัญหาคอรัปชั่นและความไม่โปร่งใส ซึ่งสุดท้ายนำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำขั้นสูงสุดของโลกมาอยู่ที่ประเทศไทย จนกระทั่งคนจนไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก นี่ล่ะเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้

และความสามารถที่แท้จริงของเงินดิจิทัล ถ้าหากถูกนำมาใช้ อาจทำให้ปัญหานี้ของประเทศไทยดีขึ้นก็เป็นได้