'โอสถสภา' มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

‘โอสถสภา’ ประกาศภารกิจมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน  รวมพลังรักษ์โลกจากทุกภาคส่วน เปิดเวทีเสวนาต่อยอดความร่วมมือภาครัฐ และเอกชน โดยตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 30% ภายในปี พ.ศ.2573

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โอสถสภาได้วางแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่กับการขับเคลื่อนธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2562 โดยกำหนดกรอบการดำเนินงานระยะสั้นภายในปี พ.ศ.2568 ใน 5 ด้าน ได้แก่  ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน คือ การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจกับคู่ค้ารายย่อย จำนวน 450 ราย การพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้จัดหาวัตถุดิบท้องถิ่น 500 ราย และ 100% ของคู่ค้ารายสำคัญได้รับการประเมินครอบคลุม 3 ด้าน คือสิ่งแวดล้อม , สังคม และ ธรรมาภิบาล  ด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค คือ 100% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลลดน้อยลง และ 50% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และลูกอมจะเป็นสูตรปราศจากน้ำตาล ด้านการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย 100% ของบรรจุภัณฑ์จะต้องนำไปรีไซเคิล ใช้ซ้ำหรือย่อยสลายได้ภายในปี พ.ศ.2573 ด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยจะลดปริมาณการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลดลง 40% และสุดท้ายคือ ด้านการจัดการพลังงาน และการบริหารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะลดปริมาณพลังงานที่ใช้ในโรงงาน 10% และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต 15% พร้อมตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 30% ภายในปี พ.ศ.2573 สานเป้าหมายระยะยาวมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ.2593

ด้าน นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก จึงเกิดการตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา เพราะเห็นถึงความสำคัญ ต่อสิ่งแวดล้อม  โดยกฎหมายการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ยังไม่ได้ออกมาบังคับใช้ คาดว่าประมาณต้นปีหน้า ร่างพ.ร.บ จะมีการเสนอต่อผู้บริหาร และสภาต่อไป เพื่อกำหนดการปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจที่ต้องให้ความสำคัญต่อการรักษ์โลกมากขึ้น

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์