'ผู้ผลิตอาหารสัตว์' ขอพบ ‘ธรรมนัส’ รับมือภาษี CBAM เสนอหยุดเผ่าตอซังข้าวโพด

'ผู้ผลิตอาหารสัตว์' ขอพบ ‘ธรรมนัส’ รับมือภาษี CBAM เสนอหยุดเผ่าตอซังข้าวโพด

‘ผู้ผลิตอาหารสัตว์’ ขอเข้าพบ ‘ธรรมนัส’ ยื่นข้อเสนอหยุดเผ่าตอซังข้าวโพด ห่วงผลกระทบสินค้าส่งออกไทย โดยภาษี CBAM ของยุโรป

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ได้ทำหนังสือขอเข้าพบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อภาคเกษตรและอาหารของประเทศ รวมถึงแนวทางป้องกันความเสี่ยงจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ทั้งนี้ การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นธุรกิจของพ่อค้าผู้รวบรวมพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ไม่ใช่ภารกิจของโรงงานอาหารสัตว์ ซึ่งกลุ่มพ่อค้าจะนำเข้าตามข้อตกลง AFTA หรือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area – AFTA) ซึ่ง เป็นความตกลงการค้าที่ไม่มีภาษีและไม่มีโควต้าในระหว่างประเทศสมาชิก 

รวมทั้งปัจจุบันไทยอนุญาตให้นำเข้าเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคมของทุกปี และไม่อนุญาตให้นำเข้าในช่วงเดือนกันยายน-มกราคม เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตในประเทศออกสู่ตลาด 

สำหรับปัญหาหมอกควันในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลกระทบเป็นฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือของไทยนั้น ไม่มีใครทราบว่า Hot Spot ที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านนั้น เกิดจากไฟป่าหรือการเผาพืชชนิดใด แต่ก็ถือเป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐ

นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในสภาว่า “การเผาหลังเก็บเกี่ยวเป็นวัฒนธรรมทางการเกษตรที่เพื่อนบ้านทำมาตลอด การจะออกประกาศในเรื่องใดกับชาติใดเราต้องปฏิบัติกับชาติตัวเองเช่นนั้นด้วย เป็นเงื่อนไขบังคับอยู่ใน WTO และอาเซียน” 

หมายความว่า การจะเรียกร้องให้ประเทศอื่นหยุดเผา ประเทศไทยเองก็ควรต้องหยุดเผาด้วย ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่ได้ห้ามเผาข้าวโพด เพียงแต่ขอความร่วมมือ และกำหนดระยะเวลาการเผาเป็นช่วง

ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรยุติการเผาในกระบวนการผลิตทั้งหมด ด้วยการวางมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice : GAP) ซึ่งจะได้ประโยชน์เชื่อมโยงไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตอาหารของประเทศด้วย ทั้งนี้ เพราะข้าวโพดเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตอาหารของประเทศไทย

ขณะที่คู่ค้าสำคัญคือสหภาพยุโรป (EU) เริ่มมีมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนและการตัดไม้ทำลายป่าออกมา การจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยให้เข้าสู่ระบบมาตรฐาน GAP จึงจำเป็นมาก

นายพรศิลป์ กล่าวว่า ความเสี่ยงคือไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหาร หากสินค้าไทยปลดปล่อยคาร์บอนตลอดกระบวนการผลิตมากกว่าที่ประเทศผู้นำเข้ากำหนด จะถูกเก็บภาษี ซึ่งทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทันที เช่น อุตสาหกรรมไก่เนื้อที่ใช้ข้าวโพดเป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารไก่

ทั้งนี้ อาจถูกเรียกเก็บ C-BAM จนไม่สามารถทำธุรกิจในตลาดโลกได้อีก อุตสาหกรรมอาหารมูลค่าหลายแสนล้านบาทของไทยย่อมได้รับผลกระทบ ซึ่งรวมไปถึงทุกคนในห่วงโซ่การผลิตนี้ ตลอดจนเศรษฐกิจของชาติด้วย

มาตรการสิ่งแวดล้อมสำหรับการค้าขายในตลาดโลก นับจากนี้จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐลงมือทำทันทีในการวางมาตรฐาน GAP ให้สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชไร่ทุกชนิดในประเทศไทย เพื่อวางยุทธศาสตร์การค้าของประเทศโดยพิจารณาทั้งห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะทำให้รัฐมองเห็นจุดที่จำเป็นต้องเร่งปรับปรุงหลายจุด และนำไปสู่การลดความเสี่ยงที่จะเป็นอุปสรรคการค้าของไทยในอนาคตได้