'สุริยะ' สั่งเจรจารถไฟฟ้า 20 บาท รัฐพร้อมจัดงบจ่ายส่วนต่างเอกชน

“คมนาคม” พร้อมผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แบบถ้วนหน้า เริ่มสายสีม่วง และสายสีแดง 1 ม.ค.2567 ประเมินใช้งบประมาณอุดหนุนส่วนต่างราว 136 ล้านบาทต่อปี เดินหน้าเจรจาเอกชนร่วมนโยบายผ่านระบบตั๋วร่วม “บีทีเอส” ประกาศพร้อมเจรจา
นโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง แต่ไม่ได้ถูกบรรจุในนโยบายที่พรรคเพื่อไทย และถูกทวงถามในที่ประชุมรัฐสภาทั้ง 2 วัน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงในที่ประชุมรัฐสภาต่อเรื่องดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 12 ก.ย.2566 ว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายที่จะเป็นรูปธรรมแน่นอน ส่วนระยะเวลาจะต้องดูแต่ละเส้นทางที่มีระบบแตกต่างกัน ทั้งการให้สัมปทานเอกชนและบางเส้นทางรัฐดำเนินการเอง หรือบางเส้นทางมีกรุงเทพมหานครเป็นคู่สัญญา
ดังนั้นการให้เก็บ 20 บาทตลอดสายเท่ากันทุกเส้นทาง ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาเจรจา และวางระบบเทคนิคการทำตั๋วร่วมเป็นระบบเดียวกัน ต้องวางระบบคอมพิวเตอร์ให้เทคนิคเหมือนกัน
สำหรับเส้นทางที่รัฐจะดำเนินการได้เองและทันที คือ สายสีแดงกับสายสีม่วง เพราะกระทรวงคมนาคมจะทำภายใน 3 เดือน ประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้า 2 เส้นทางนี้ 20 บาทตลอดสาย และภายใน 2 ปี ประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้าทุกเส้นทาง 20 บาทตลอดสาย การที่ไม่เห็นผลทันทีเพราะต้องใช้เวลาเจรจาและวางระบบตั๋วร่วม
“นโยบายนี้จะทำเพื่อคนทุกกลุ่ม นอกจากช่วยคนรายได้น้อย ยังช่วยให้คนใช้รถยนต์มาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ลดปัญหามลพิษ”
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังจัดรายละเอียดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง เป็นของขวัญปีใหม่ 2567 แก่ประชาชน โดยกำลังเตรียมดำเนินการ 2 ส่วน คือ
1.การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่จะต้องศึกษาข้อมูลส่วนต่างที่รัฐบาลต้องชดเชยแก่รถไฟฟ้าสายสีแดง เนื่องจากโครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของ ร.ฟ.ท. ซึ่งขณะนี้ทราบว่าจะมีการนำเสนอข้อมูลส่วนต่างความคุ้มค่าของนโยบายนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.ภายในเดือนนี้ หลังจากนั้นจะเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอปรับอัตราค่าโดยสาร
2.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) หน่วยงานเจ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-คลองบางไผ่ จะรับผิดชอบในการพิจารณาเงินชดเชยในโครงการนี้ โดยรถไฟฟ้าสายสีม่วงดำเนินการปรับลดค่าโดยสารได้ทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีการขออนุมัติจัดทำโปรโมชันค่าโดยสารในราคาสูงสุด 20 บาทตลอดสายอยู่แล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลมีนโยบายให้กลับมาดำเนินการก็ทำได้ทันที
ส่วนกรณีการเดินทางเชื่อมระบบที่รถไฟฟ้า 2 สายไม่มีจุดเชื่อมต่อกัน แต่เดินทางเชื่อมต่อผ่านรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ดังนั้นคาดว่าจะมีการสนับสนุนผู้โดยสารให้เดินทางเชื่อมต่อระบบผ่านบัตร EMV (Europay Mastercard VISA) ที่กระทรวงคมนาคมผลักดันเป็นระบบตั๋วร่วม ซึ่งจะลดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนและลดค่าโดยสารในกรณีเดินทางข้ามระบบรถไฟฟ้า
แหล่งข่าว กล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รัฐบาลต้องใช้เงินอุดหนุนรวม 136 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น รถไฟฟ้าสายสีแดง 80 ล้านบาทต่อปี และรถไฟฟ้าสายสีม่วง 56 ล้านบาทต่อปี แต่การลดค่าโดยสารจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นและทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าเมื่อดำเนินนโยบายถึง 2.8 ปี จะทำให้รถไฟฟ้าทั้ง 2 สายมีรายได้กลับมาเท่าเดิม โดยรัฐไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย
“รถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย เริ่มทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้เลย แต่อาจต้องใช้เวลาติดตั้งระบบ ดังนั้นกระทรวงคมนาคมประเมินว่าช่วงของขวัญปีใหม่ 1 ม.ค.2567 เป็นเวลาเหมาะสม และจะทำให้รัฐบาลคำนวณเงินจ่ายชดเชยให้รถไฟฟ้าทั้ง 2 สายนี้ง่ายมากขึ้น เนื่องจากจะต้องประเมินค่าใช้จ่ายเป็นรายปี”
รัฐพร้อมหนุนงบอุดหนุนเอกชน
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายให้ รฟม.หารือกับเอกชนคู่สัญญา ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
โดยให้ รฟม.เตรียมเจรจาเอกชนเข้าร่วมนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางข้ามระบบรถไฟฟ้า ซึ่งภาครัฐจะสนับสนุนเงินส่วนต่างแก่ภาคเอกชน เพื่อไม่ให้ขัดต่อสัญญาสัมปทาน และต้องขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนติดตั้งระบบตั๋วร่วม หรือระบบ EMV ที่จะเป็นระบบส่วนกลางในการคำนวณรายได้ค่าโดยสาร
ทั้งนี้ สาเหตุที่ผลักดันรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงก่อน เพราะรถไฟฟ้าสายสีแดงมี ร.ฟ.ท.เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด โดยมีเส้นทางจากบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กิโลเมตร และจากบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร รวมระยะทาง 41 กิโลเมตร ค่าโดยสารปัจจุบัน 12-42 บาท และปัจจุบันมีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 2.3-2.4 หมื่นคน
ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นการลงทุนทั้งหมดโดย รฟม.ลักษณะ PPP Gross Cost ภาครัฐจัดเก็บรายได้ จ้างเอกชนเดินรถ โดยรัฐต้องรับความเสี่ยงค่าโดยสาร ซึ่งปัจจุบัน รฟม.มีสัญญาจ้าง BEM บริหารการเดินรถและเก็บค่าโดยสาร โดยมีเส้นทางจากบางเตาปูน-บางใหญ่ ระยะทาง 23 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 17-42 บาท และปัจจุบันมีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 5.5 หมื่นคน
ส่วนรถไฟฟ้าที่มีสัมปทานกับภาคเอกชน แบ่งเป็น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีเหลือง และสายสีชมพู สัญญาสัมปทานในลักษณะ PPP Net Cost เอกชนลงทุนระบบและบริหารการเดินรถ โดยจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้ภาครัฐตามข้อเสนอของเอกชนที่ระบุไว้ในสัญญาสัมปทาน ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าเหล่านี้มีสัญญาสัมปทานราว 30 ปี อีกทั้งภายใต้สัญญาสัมปทานยังมีเงื่อนไขกำหนดเกี่ยวกับอัตราค่าโดยสาร ทำให้นโยบายปรับลดค่าโดยสารหากจะดำเนินการต้องเจรจากับภาคเอกชน
“บีทีเอส” พร้อมหนุนนโยบาย 20 บาท
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ส่วนจะมีรายละเอียดอย่างไรคงต้องรอให้มีการเจรจา
ทั้งนี้ประเมินว่าการดำเนินงานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีเหลืองและสายสีชมพู ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ BTS จะใช้เวลาดำเนินการไม่นาน หากการเจรจาได้ข้อยุติ เพราะที่ผ่านมา BTS ได้เตรียมความพร้อมติดตั้งระบบซอฟต์แวร์หัวอ่านตั๋วร่วมที่กระทรวงคมนาคมศึกษาไว้ อีกทั้งได้ติดตั้งระบบหัวอ่านบัตร EMV รองรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและเดบิต ดังนั้นตอนนี้คงต้องเจรจากันก่อนว่าจะใช้ระบบอะไรในการทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เพราะต้องเป็นระบบเดียวกัน
“พร้อมเจรจาและเข้าร่วมนโยบายภาครัฐ แต่ต้องเจรจาระบบที่จะนำมาใช้ และรายละเอียดไม่ให้กระทบสัญญาสัมปทาน ว่าส่วนต่างที่รัฐบาลต้องชดเชยเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเพราะคำนวณได้จากปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่จัดเก็บอยู่ ดังนั้นเชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นาน”







