ถอดบทเรียนซูเปอร์ 'เอลนีโญ' ส่งออกสินค้าเกษตรไทยกระทบหนัก

ถอดบทเรียนซูเปอร์ 'เอลนีโญ' ส่งออกสินค้าเกษตรไทยกระทบหนัก

สนค.ถอดบทเรียนผลกระทบของ "เอลนีโญ" ต่อเศรษฐกิจการค้า เผย 70 ปี โลกเจอเอลนีโญ 5 ครั้งกระทบราคาพลังงาน เงินเฟ้อ ผลผลิตเกษตรเปลี่ยนแปลง ขณะที่ไทยคาด กระทบส่งออกสินค้าเกษตรหนัก พาณิชย์ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญสร้างความกังวลว่าจะส่งผลเสียหายต่อภาคเกษตรไทย และทำให้รายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยลดลง  โดยในช่วงต้นเดือนพ.ค. 2566 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้ประกาศแจ้งเตือนปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น และการเกิดเอลนีโญจะส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศและมรสุมแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลก เอลนีโญเกิดจากกระแสลมเปลี่ยนทิศ ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังภูมิภาคอเมริกาใต้ จึงทำให้ภูมิภาคอเมริกาใต้มีฝนตกหนักกว่าปกติ ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย จะเกิดภัยแล้งและอาจเกิดไฟป่า

ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญซูเปอร์เอลนีโญแล้ว 5 ครั้ง (ปี 2515/16 2525/26 2534/35 2540/41 และ 2558/59) และจะเกิดครั้งต่อไปในเดือนต.ค. 2566 ไปจนถึงปี 2567 ซึ่งเอลนีโญจะเกิดทุก ๆ 2 - 7 ปี มีระยะเวลา 9 - 12 เดือน นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าเอลนีโญจะมาถี่ขึ้น และอุณหภูมิอาจยกกำลังเพิ่มขึ้น

รายงานการศึกษาของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ศึกษาผลกระทบของเอลนีโญ (El Niño Shock) ในอดีต โดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ โดยใช้ข้อมูลปี 2522 -2556 เผยแพร่เมื่อต้นปี 2560 พบว่าเอลนีโญส่งผลกระทบทำให้  1.ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Prices) สูงขึ้น

 2.เงินเฟ้อ (Inflation) เกิดจากราคาเชื้อเพลิงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น นอกจากนี้ หากประเทศใดมีสัดส่วนน้ำหนักของสินค้าหมวดอาหารในตะกร้าเงินเฟ้อ (CPI) ค่อนข้างสูง ก็อาจทำให้เงินเฟ้อสูงด้วย

ถอดบทเรียนซูเปอร์ \'เอลนีโญ\' ส่งออกสินค้าเกษตรไทยกระทบหนัก

 

 

3. อัตราการเติบโตของผลผลิตที่แท้จริง (Real Output Growth)ซึ่งผลกระทบแตกต่างกันไป เช่น อาร์เจนตินา: ฝนตกอุดมสมบูรณ์ทำให้ผลผลิตถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น ออสเตรเลีย: ผลผลิตข้าวสาลีลดลงจากความแห้งแล้ง ทำให้ราคาข้าวสาลีโลกสูงขึ้น แคนาดา: ผลผลิตประมงเพิ่มขึ้นจากอากาศอบอุ่นขึ้น

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า  หากย้อนดูผลกระทบต่อไทยในปี 2558 ซึ่งเป็นปีล่าสุด ที่เกิดซูเปอร์เอลนีโญ พบว่าปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของไทยส่วนใหญ่ลดลง โดยข้าวเปลือก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน มีผลผลิตลดลง  15.4%  17.6 %และ 1.9% ตามลำดับ ขณะที่มันสำปะหลัง ผลผลิตเพิ่มขึ้น 3.8% เนื่องจากภาครัฐส่งเสริมปลูกมันสำปะหลังทดแทนในพื้นที่นาที่ไม่เหมาะกับการปลูกข้าว และมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ในส่วนของราคาสินค้าเกษตร ในปี 2558 สินค้าเกษตรหลายรายการราคาสูงขึ้น อาทิ ข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น  30.4 %  ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มขึ้น 8.8 %  มันสำปะหลัง เพิ่มขึ้น 7.3%  ทุเรียน  เพิ่มขึ้น  36.9 % มังคุด  เพิ่มขึ้น 72.8 % ลำไย  เพิ่มขึ้น  12.6 %และเงาะ เพิ่มขึ้น 20.3%  สำหรับสินค้าเกษตรที่ราคาลดลง ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน ลดลง  5.4 % ทั้งนี้ โดยทั่วไปเมื่อผลผลิตลดลง จะส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่กรณีปาล์มน้ำมัน ทั้งปริมาณผลผลิตและราคาลดลง มีสาเหตุจากการมีสต๊อกน้ำมันปาล์มอยู่จำนวนมาก และภาวะการค้าชะลอตัวจากผลผลิตปาล์มน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถอดบทเรียนซูเปอร์ \'เอลนีโญ\' ส่งออกสินค้าเกษตรไทยกระทบหนัก

สำหรับการส่งออกของไทยในปี 2558 พบว่าสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว ปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง 10.7 %และ 10.8 % ตามลำดับ  น้ำมันปาล์ม  ปริมาณและมูลค่าส่งออกลด  61.6 % และ 63.9 ตามลำดับ  มังคุด ปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง 8.6 % และ 9.4 % ตามลำดับ ในส่วนของสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง  ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น  4.4  %  และ 2.5 %   ตามลำดับ  ทุเรียน  ปริมาณส่งออกลดลง  3.1 %   ขณะที่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 6.5 %  ลำไย  ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น  20.7  % และ 22.9  % ตามลำดับ  เงาะ ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น  73.7 %   และ 52.7 ตามลำดับ เนื่องจากมีความต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในภาพรวมเอลนีโญทำให้ปริมาณผลผลิตภาคเกษตรลดลง ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่หากผลกระทบด้านผลผลิตที่ลดลงมีมากกว่าผลกระทบด้านราคาที่สูงขึ้น ก็จะส่งผลให้รายได้ลดลง สำหรับในรายสินค้า เช่น สินค้าข้าว มีการคาดการณ์ว่าผลผลิต ปี 2566/67 จะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ก็พอเพียงสำหรับบริโภคในประเทศและส่งออกได้ ซึ่งอินโดนีเซียมีนโยบายความมั่นคงทางอาหารต้องการสำรองข้าว

ขณะที่อินเดียขึ้นภาษีส่งออกข้าวนึ่ง รวมทั้งระงับการส่งออกข้าวทุกชนิดที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ อีกทั้งเวียดนามมีนโยบายลดปริมาณการส่งออกข้าว โดยจะส่งออกข้าวคุณภาพสูงและไม่เน้นปริมาณ ปัจจัยเหล่านี้ น่าจะส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 อินโดนีเซียได้ลงนามข้อตกลงกับอินเดีย อนุญาตนำเข้าข้าวจากอินเดีย 1 ล้านตัน เพื่อจัดหาข้าวในกรณีเกิดการหยุดชะงักอันเป็นผลจากเอลนีโญ ซึ่งต้องติดตามใกล้ชิดเพื่อหาช่องทางและโอกาสทางการค้าสำหรับไทย

นอกจากนี้ ไทยต้องเร่งพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปรับปรุงพันธุ์ให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี ใช้หลักตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ และสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน สำหรับในช่วง 7 เดือนแรก ของปี 2566 มูลค่าการส่งออกข้าวของไทย ขยายตัว 20.6 %เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าสุทธิ นำเข้าจากเมียนมาเกือบทั้งหมด คาดว่าผลผลิต ปี 2566/67 จะลดลง แต่ก็ยังมีมากกว่าช่วงภัยแล้งปี 2562/63 และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 ไทยนำเข้าข้าวสาลี 1.4 ล้านตัน และข้าวบาร์เลย์ 0.5 ล้านตัน ปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 371.9%  และ 490.6% ตามลำดับ ซึ่งข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์เป็นสินค้าทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดังนั้น การอำนวยความสะดวกการนำเข้าสินค้าพืชอาหารสัตว์จะช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทย แต่ขณะเดียวกันต้องดำเนินมาตรการเพื่อสร้างความสมดุลให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ไปด้วยพร้อมกัน

 สินค้ามันสำปะหลัง มีการคาดการณ์ว่าผลผลิต ปี 2566/67 จะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ขณะที่ฝั่งสมาคมผู้ประกอบการเกี่ยวกับมันสำปะหลัง เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจว่าผลผลิตมันสำปะหลังจะเหลือ 24 ล้านตัน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศต้องการ 40 ล้านตัน ซึ่งจะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูปไทย ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการปลูกให้ได้ผลผลิตสูง และอาจส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกมันสำปะหลังซึ่งเป็นพืชน้ำน้อยทดแทนการปลูกข้าว

ทั้งนี้ ในปี 2558 ที่เกิดซูเปอร์เอลนีโญ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูป มีปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น  4.4  % และ 2.5  % ตามลำดับ สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูป หดตัวตัว 17.6 %เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าน้ำมันปาล์ม มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันปี 2566/67 จะลดลงจากสภาพอากาศร้อน ฝนน้อย และทำให้ผลปาล์มมีน้ำหนักลดลง ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีนโยบายลดการส่งออกน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้นจากอุปทานที่ลดลง จึงน่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทย หดตัว 37.5%  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าผลไม้ มีการคาดการณ์ว่าทุเรียนและมังคุดจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ลำไยจะมีผลผลิตลดลง เนื่องจากภัยแล้งและพื้นที่ปลูกที่ลดลง อย่างไรก็ตาม จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทยยังมีความต้องการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกผลไม้สดของไทย ขยายตัว 17.8%

สินค้าน้ำตาล เอลนีโญทำให้อินเดียมีผลผลิตน้ำตาลลดลง อีกทั้งรัฐบาลอินเดียมีมาตรการชะลอการส่งออกน้ำตาล ทำให้ปริมาณน้ำตาลในตลาดโลกลดลง และส่งผลให้ราคาน้ำตาลโลกสูงขึ้น ฟิลิปปินส์มีมาตรการนำเข้าน้ำตาลทรายเพื่อสำรองไว้ในประเทศ ขณะที่บราซิลจะมีผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้น สำหรับไทยคาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2566/67 จะลดลง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายของไทย ขยายตัว  17.7%

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผลผลิตและราคาสินค้าเกษตร แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ นอกจากนี้ ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาพลังงาน และเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งต้นทุนค่าขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีการตั้งวอร์รูมเพื่อรับมือกับผลกระทบจากเอลนีโญที่มีต่อพืชเกษตร สำหรับผู้ประกอบการจะต้องติดตามข้อมูลและเตรียมการเพื่อบรรเทาผลกระทบ ตลอดจนมีการวางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและรัดกุม