‘ณรงค์ชัย’ หนุน ‘วอลเลต’ 1 หมื่น แนะ ‘เพื่อไทย’ ทยอยทำ เน้นโครงสร้างพฐ.ดิจิทัล
![‘ณรงค์ชัย’ หนุน ‘วอลเลต’ 1 หมื่น แนะ ‘เพื่อไทย’ ทยอยทำ เน้นโครงสร้างพฐ.ดิจิทัล](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2023/08/HGls8VNlsrXwIFORFMHI.webp?x-image-process=style/LG)
“ณรงค์ชัย” หนุนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล วอลเลต แต่แนะเพื่อไทยทยอยทำ ตามงบประมาณที่มีอยู่ ในช่วงแรกเน้นให้ทำโครงสร้างพื้นฐาน web 3.0 ทั่วประเทศก่อน เพื่อวางโครงสร้างสำคัญด้านเทคโนโลยีให้ประเทศ
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวในรายงาน “Deep Talk” ของ “กรุงเทพธุรกิจ” เกี่ยวกับ "นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย" ว่าในส่วนนโนบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (ดิจิทัล วอลเลต) ซึ่งจะแจกเงินให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 1 หมื่นบาทนั้นเชื่อว่าจะพรรคร่วมรัฐบาลจะยอมให้ได้ไปต่อ ซึ่งนโยบายนี้ใช้เงินประมาณ 5.6 แสนล้านบาท
นโยบายนี้จะมีผลดีต่อประเทศในระยะต่อไป เพราะมีผลในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีต่อเนื่อง ซึ่งคนที่จะได้รับเงินนั้นก็ต้องไปเรียนรู้ระบบ และเรียกร้องในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องของการสื่อสารด้วยอินเตอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ต และบล็อกเชนที่เป็นสาธารณะ ผลของนโยบายนี้จะมีดิจิทัลที่มีการเชื่อมต่อกันทั่วประเทศเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไปของในอนาคต
นายณรงค์ชัยกล่าวว่าการทำบล็อกเชนทั่วประเทศนั้นมีตัวอย่างในประเทศจีนที่มีการลงทุนในระบบแบบนี้ทุกหมู่บ้าน ขณะที่ในอินเดียก็มีการทำระบบนี้ครอบคลุม 500 – 600 ล้านคน ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาในเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเริ่มในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นการรองรับเงินดิจิทัลในส่วนนี้ก่อน โดยระบบเดิมที่มีอยู่ไม่รองรับเนื่องจากมีกำหนดเงื่อนไขตามเทคโนโลยีที่บล็อกเชนจะกำหนดเข้ามาเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตเพราะระบบนี้จะล็อคไว้อย่างเฉพาะเจาะจงซึ่งถือเป็นเทคโนโลยี Web3.0 ที่เป็นเทคโนโลยีที่จะมาแทนระบบเดิมในอนาคต หากสามารถมีระบบนี้ในประเทศไทยก็จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวกระโดดในเทคโนโลยีนี้
ส่วนเมื่อถามว่าโครงการนี้จะสามารถมีการกู้เงินมาใช้ได้หรือไม่นั้น อดีต กนง.ตอบว่าการทำงบประมาณนั้นสามารถวางการทำนโยบายเป็นขั้นตอนได้ โดยในปีแรกนั้นตั้งงบประมาณมาทำโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ เข่น เรื่องบล็อกเชน อินเตอร์เน็ตที่ไปยังทุกชุมชนหมู่บ้าน จากนั้นในงบประมาณปีต่อไปที่จะต้องใช้เงินจ่ายลงไปก็ให้เสนอต่อสภาฯแล้วให้มีการเสนอต่อสภาฯให้มีการดีเบตถกเถียงว่าควรจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยกันสนับสนุนข้อมูลว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน
“นโยบายนี้สิ่งที่สำคัญคือการลงทุนเรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องดูว่าเงินมีหรือไม่ ต้องดูในเรื่องงบประมาณประเทศเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันนี้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเกินกว่า 60% แล้ว หากจะทำเรื่องนี้ไปอยู่ในกฎหมายงบประมาณซึ่งจะมีเพดานอยู่ แล้วหากงบประมาณบอกว่าทำได้จริงแค่ 5 หมื่นล้านบาทก็แปลว่าทำได้แค่นั้น ก็ค่อยๆทำไป ![]()
ซึ่งในความเป็นจริงงบประมาณของเราไม่สามารถทำโครงการขนาด 5 แสนล้านบาทได้ในปีงบประมาณเดียว และอาจไม่ทันในงบประมาณนี้ เพราะต้องทำระบบบล็อกเชนก่อน เพราะระบบนี้เป็นระบบใหม่ของประเทศ และอยู่บนเทคโนโลยี Web3 และต้องทำโครงสร้างพื้นฐานด้านนี้ให้เสร็จก่อน ซึ่งก็พัฒนาต่อยอดได้เพราะเรามีเทคโนโลยี 5G แล้ว”นายณรงค์ชัยกล่าว