'พลังงาน' ชงรัฐบาลใหม่ เคาะเปิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ‘ไทย-กัมพูชา’

'พลังงาน' ชงรัฐบาลใหม่ เคาะเปิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ‘ไทย-กัมพูชา’

“พลังงาน” จ่อชงรัฐบาลใหม่ เร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อน “ไทย-กัมพูชา” หวังเป็นแหล่งพลังงานในอนาคต “เพื่อไทย” ชูนโยบายเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อน เพื่อสำรองแหล่งก๊าซที่มีราคาถูก

ที่ผ่านมารัฐบาลได้เริ่มเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา โดยพรรคเพื่อไทยที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล ได้กำหนดนโยบายเร่งพื้นที่ทับซ้อน เพื่อให้ได้แหล่งก๊าซธรรมชาติราคาถูก และสร้างรายได้ให้ภาครัฐจากค่าภาคหลวง

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การเจรจากับกัมพูชาเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา คงต้องรอรัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณาเพราะเป็นเรื่องระดับนโยบาย 

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานระบุว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ต่อ ครม.หลังจากเดือน ธ.ค.2565 ฝ่ายไทยได้หารือกับนายซุย แซม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานกัมพูชา เพื่อพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชา (Overlapping Claims Area : OCA) พื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร โดยใช้โครงสร้างคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) ระหว่างไทย-กัมพูชา

รวมทั้งได้ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนทางการพัฒนาแหล่งพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชา โดยไทยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลัก โดยประชุมร่วมกับกัมพูชาแล้ว 1 ครั้ง และจากนี้ต้องดูรายละเอียดแนวเขตที่กระทรวงการต่างประเทศยังกังวลและต้องหาทางออก ส่วนกระทรวงพลังงานทำงานร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อเดินหน้าการเจรจา

ต้องสรุปข้อเสนอแบ่งผลประโยชน์

ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะสรุปร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อยุติก่อนการพัฒนาร่วม โดยดำเนินการเจรจาควบคู่กับการเจรจาเพื่อแบ่งเขตในพื้นที่ตอนบน (เหนือละติจูดที่ 11 องศาเหนือ) โดยไม่อาจแบ่งแยกได้ รวมทั้งสรุปข้อมูลใน 6 ประเด็น ดังนี้

1.สัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลทั้งสอง 

2.ระบบจัดเก็บรายได้ที่จะนำมาใช้ในพื้นที่พัฒนาร่วม 

3.การจัดสรรสิทธิของผู้ได้รับสัญญาหรือผู้รับสัมปทานเดิมของแต่ละประเทศ รวมถึงการกำหนดผู้ดำเนินงาน

4. ระบบกรือโครงสร้างการบริหารจัดการในพื้นที่ประเด็นสำคัญ ได้แก่องค์กรก้ากับดูแลการจัดสรรงบประมาณออกกฎหมายภายในต่างๆ เพื่อรองรับการด้าเนินงานขององค์กรกำกับดูแล 

5.ประเด็นด้านศุลกากร ภาษีอากรและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 

6.ประเด็นอื่นๆ เช่น การประมง การวางท่อ อุทกศาสตร์ และสมุทรศาสตร์

พื้นที่ทับซ้อนติดแหล่ง“เอราวัณ”

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเคยมีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับมาเลเซียสรุปเป็น JDA ในปี 2522 ใช้เวลาเจรจา 11 ปี ส่วนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับเวียดนามใช้วิธีแบ่งเส้นเขตแดนเมื่อปี 2540 ใช้เวลาเจรจา 7-8 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเวียดนามให้น้ำหนักกับพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้มากกว่า

สำหรับพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชามีศักยภาพปิโตรเลียม โดยพื้นที่ฝั่งไทยที่ติดกับพื้นที่ทับซ้อนมีการพบปิโตรเลียมแล้ว เช่น แหล่งเอราวัณ แหล่งอาทิตย์ จึงมีแนวโน้มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งรัฐบาลไทยให้สัมปทานไปเมื่อปี 2511 และให้หยุดสำรวจตั้งแต่ปี 2518 ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม.ปี 2518 ที่ให้ยุติสำรวจในพื้นที่ทับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ทำให้การให้สิทธิสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาหยุดลง

สำหรับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมี 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งการเจรจาเป็น 2 ส่วน คือ 

1. พื้นที่เหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือขึ้นไป ต้องหาข้อสรุปเขตแดนทางทะเล 10,000 ตารางกิโลเมตร ให้ชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ 

2. พื้นที่ใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือลงมา พื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีเป้าหมายทำความตกลงพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกัน (JDA) ในลักษณะที่คล้ายกับที่ไทยทำ JDA ร่วมกับมาเลเซีย

ทั้งนี้ สิทธิสัมปทานยังคงเป็นของผู้รับสัมปทาน โดยรัฐบาลไม่ได้ยกเลิกเพื่อเป็นการยืนยันว่าไทยยังอ้างสิทธิอย่างสมบูรณ์ในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ดูแลสัมปทานขณะนั้นได้หยุดนับเวลาอายุสัมปทานจนถึงปัจจุบัน โดยผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลไทยเมื่อปี 2511 แบ่งเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย

1. แปลง B5 และ B6 คือ Idemitsu Oil เป็นผู้ดำเนินงานหลัก (Operator) ถือสัดส่วน 50% และพันธมิตรมี Chevron E&P สัดส่วน 20% ,Chevron Blocks 5 and 6 สัดส่วน 10% ,Mitsui Oil Exploration Co.Ltd. สัดส่วน 20%

2. แปลง B7,B8 และ B9 คือ British Gas Asia เป็นผู้ดำเนินงานหลักถือสัดส่วน 50% และพันธมิตร คือ Chevron Overseas สัดส่วน 33.33% และ Petroleum Resources สัดส่วน 16.67%

3. แปลง B10 และ B11 คือ Chevron Thailand E&P เป็นผู้ดำเนินการหลัก ถือสัดส่วน 60% และพันธมิตร คือ Mitsui Oil Exploration สัดส่วน 40%

4. แปลง B12 และ B13 (บางส่วน) คือ Chevron Thailand E&P เป็นผู้ดำเนินการหลัก ถือสัดส่วน 80% และพันธมิตร คือ Mitsui Oil Exploration สัดส่วน 20%

5. แปลง G9/43 และ B14 ผู้รับสิทธิ คือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)