'เอสซีจี’ รัดเข็มขัด รื้อลงทุน 4 หมื่นล้าน ชี้ดีมานด์โลกหดตัว

'เอสซีจี’ รัดเข็มขัด รื้อลงทุน 4 หมื่นล้าน ชี้ดีมานด์โลกหดตัว

“เอสซีจี” เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2.53 แสนล้านบาท ลดลง 17% มองทิศทางดีมานต์ตลาดโลกหดตัว คาดยอดขายปี 66 พลาดเป้า รายได้รวมทั้งปีต่ำกว่าปีก่อน ต้องรัดเข็มขัด ทบทวนแผนลงทุนปีนี้ 4 หมื่นล้าน ชี้เศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัมจากท่องเที่ยว เตือนจับตาผลกระทบภัยแล้ง

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงหลายประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในตลาดโลกทำให้บริษัทที่มีรายได้จากตางประเทศต้องปรับแผนธุรกิจ

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีความท้าทายมากทั้งจากเศรษฐกิจจีนและอาเซียนที่ฟื้นตัวแต่ช้ากว่าที่คาดการณ์ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น ยังเปราะบางจากภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางสหัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อซึ่งทำให้ภาคเอกชนชะลอลงทุนเพราะต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบอาเซียน ด้วยอานิสงส์การท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักตั้งแต่ปลายปี 2565 ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างปรับตัวดีโดยเฉพาะในหัวเมืองท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ต้องเฝ้าระวังภัยแล้งเอลนีโญในช่วง ส.ค.2566 ถึงปลายปี 2567 โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) คาดว่าเดือน ส.ค.-ต.ค.2566 จะมีฝนตกหนักและน้ำท่วมบางพื้นที่ ซึ่งควรเก็บน้ำสำรองให้มากที่สุดและใช้น้ำประหยัด เพราะปี2567 อาจเกิดเอลนีโญระดับรุนแรงและขาดแคลนน้ำทั้งภาคเกษตร ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม

“ประเด็นการตั้งรัฐบาลล่าช้ามองว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริโภคไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งกลุ่มแพคเกจจิ้งและเคมิคอลส์ ขณะที่กลุ่มซีเมนต์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ เป็นกลุ่มที่คาดว่าได้รับผลกระทบหากตั้งรัฐบาลลากยาวไป ทำให้โครงการลงทุนใหม่ไม่ได้อนุมัติ”

สำหรับผลประกอบการเอสซีจีไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้ 124,631 ล้านบาท กำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นในธุรกิจเคมิคอลส์ และต้นทุนพลังงานลดลง และเมื่อแยกผลประกอบการรายธุรกิจได้ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) ไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 48,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน เพราะปริมาณขายพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น กำไรสำหรับงวด 741 ล้านบาท ลดลง 45% จากไตรมาสก่อน เพราะส่วนต่างราคาขายลดลง

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 46,432 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสำหรับงวด 1,250 ล้านบาท ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะเศรษฐกิจอาเซียนถดถอย

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 32,216 ล้านบาท ลดลง 15% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอจึงมีผลต่อต้องการบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะสินค้าคงทนและสินค้าไม่จำเป็น โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,485 ล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษปรับตัวลง

คาดรายได้ทั้งปีพลาดเป้า

ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะยอดขายลดลงทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดอ่อนตัว มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ขณะที่มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ 9,786 ล้านบาทลดลง 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“ผลประกอบการปีนี้จะต่ำกว่าปีที่แล้วและยอดขายไม่โตตามเป้า โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลเชิงลบต่อยอดขายปีนี้มาจากตลาดอาเซียนหดตัว กลุ่มซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างบางประเทศหดตัว 10-20% ส่วนกลุ่มแพคเกจจิ้งในไทยและภูมิภาคมีดีมานต์ลดลง 10-20% ขณะที่กลุ่มเคมิคอลส์ราคาปรับลดลงจากปีก่อน 10-20%”

ทบทวนแผนลงทุนปีนี้ 4 หมื่นล้าน

ทั้งนี้ เอสซีจีทบทวนแผนการลงทุนปี 2566 ต้องรัดเข็มขัดและมีความระมัดระวังมาก คาดว่าจะเงินลงทุนอยู่ที่ 40,000 กว่าล้านบาท โดยปรับแผนธุรกิจโฟกัส 4 เรื่องให้ยังเติบโตได้ระยะยาวและเตรียมคว้าโอกาสตลาดโลกฟื้น ประกอบด้วย

1.โครงการปิโตรเคมีครบวงจรใหญ่สุดในเวียดนาม ฐานผลิตสำคัญของอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ผลิตนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ป้อนตลาดโลก ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว

2.ร่วมมือกับคู่ธุรกิจระดับโลกด้านนวัตกรรมกรีน ยกระดับ Green Innovation ตอบโจทย์ตลาดโลกที่สอดคล้องเทรนด์ ESG ได้แก่ นวัตกรรม ‘Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงผลิตวัตถุดิบพลาสติก Bio-PET ย่อยสลายได้

3.ลงทุนเทคโนโลยีวัสดุกักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาดที่เก็บอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส เป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน ตอบโจทย์การเติบโตภาคอุตสาหกรรมสีเขียว

4.เตรียม SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ผู้นำตลาดอาเซียนด้านวัสดุตกแต่งผิวและสุขภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนจะสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569

\'เอสซีจี’ รัดเข็มขัด รื้อลงทุน 4 หมื่นล้าน ชี้ดีมานด์โลกหดตัว
เร่งบริหารต้นทุนพลังงาน

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีช่วงราคาพลังงานผันผวน โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในไทยเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนได้ 40% 

รวมทั้งธุรกิจพลังงานสะอาด SCG Cleanergy ที่ให้บริการซื้อขายไฟฟ้าครบวงจรสำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง โดยใช้เครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง รวมทั้งเอสซีจีติดตั้งโซลาร์ใช้ภายในและส่วนที่ให้บริการภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนผ่าน SCG Cleanergy คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 231 เมกะวัตต์ ไตรมาส 2 ปีนี้

ขณะเดียวกันเอสซีจีลงทุนใน Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลกจากสหรัฐร่วมวางแผนผลิตวัสดุกักเก็บความร้อนที่กักเก็บความร้อนอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อนนำพลังงานแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นความร้อนใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ตามแนวทาง ESG

นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมลงทุนใน NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการบ้านออนไลน์เพื่อขยายธุรกิจในไทยและอาเซียน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท

SCGC ลุยธุรกิจกรีนพลาสติก

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ยอดขายรวมของ SCGC ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้น ล่าสุดโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนามกำลังทดสอบระบบในโรงงาน เพื่อเตรียมดำเนินการเชิงพาณิชย์

ขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับผู้นำเทคโนโลยีกรีนพลาสติกโลก2 ราย คือบริษัท Avantium N.V. จากเนเธอร์แลนด์ และ บริษัทไอเอชไอ (IHI) จากญี่ปุ่น เตรียมสร้างโรงงานต้นแบบนำก๊าซ CO2 มาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรักษ์โลก รวมถึงพัฒนาวัตถุดิบทางเลือกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ห่วงเศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัว

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า เศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัวกระทบยอดขายประกอบกับไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เพราะได้รวมกิจการกับ JWD ในไตรมาสแรก

ขณะที่ยอดขายธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงเล็กน้อย แต่คาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาโดยเฉพาะนวัตกรรมสินค้าบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่า สะดวก ปลอดภัย รักษ์โลก

รวมทั้งศักยภาพอาเซียนมีประชากรกว่า 560 ล้านคน เอสซีจีเตรียมนำ SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปักธงเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียนโดยชูนวัตกรรม Smart Bathroomและมีมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569

SCGP พัฒนานวัตกรรมไบโอ

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปี 2566 ทำกำไรเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง มาจากการวางกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน SCGP ได้ทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยอยู่ระหว่างพัฒนา Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐOrigin Materials ซึ่งผลทดสอบผ่านขั้นตอนที่ 1 การทดสอบในห้องปฏิบัติการ และขั้นตอนที่ 2 การปรับคุณสมบัติที่เหมาะสม พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 Pilot Plant และเลือกพันธมิตรเพื่อร่วมมือพัฒนา

นอกจากนี้ได้วิจัยและพัฒนา Biodegradable Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน ตอบโจทย์เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส สร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นทางการปลูกจนถึงการแปรรูปไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และสิ่งแวดล้อม