จะเอาแรงจากไหน มาช่วยพาเศรษฐกิจไปต่อกันยาวๆ

'ลัษมณ อรรถาพิช' ที่ปรึกษาธนาคารโลก นำเสนอบทความแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยระยะยาว ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายด้าน โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้รัฐจากภาษีที่อยู่ระดับต่ำเพียง 16% ของ GDP และธนาคารโลกแนะนำให้ไทยปรับโครงสร้างภาษี เช่น เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10%
ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงการนำพาเศรษฐกิจไปต่อกันแบบยาวๆ ไม่เพียงแค่หวังให้กราฟพุ่งประเดี๋ยวประด๋าว โดยชี้ให้เห็นว่า ‘การลงทุน’ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก การลงทุนภาครัฐ มักจะถูกคาดหวังให้เป็นปัจจัยหลักในการชุบฟื้นเศรษฐกิจ
แต่ในทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนภาครัฐอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วง 2 ทศวรรษก่อนหน้า และหากพิจารณาค่าเฉลี่ยของการลงทุน 2 ทศวรรษกว่าที่ผ่านมา จะพบว่าการลงทุนของภาครัฐต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นอยู่มาก
รายงานของธนาคารโลก Thailand Public Revenue and Spending Assessment ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้ ระบุว่า ประเทศไทยดำเนินนโยบายการคลังอย่างระมัดระวัง และถือได้ว่ามีวินัยอยู่ในระดับที่ดี ตลอดเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา การบริหารจัดการงบประมาณโดยเฉลี่ยแล้วถือว่าเป็นงบประมาณที่มีการขาดดุลน้อยมาก
แม้ตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยจะพุ่งขึ้นสูงในช่วงนี้ ซึ่งอาจทำให้มีความกังวลอยู่บ้างหากไม่มีการบริหารรายรับรายจ่ายภาครัฐอย่างระมัดระวังและเหมาะสม แต่การที่หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศและมีระยะเวลาครบกำหนดค่อนข้างยาว จึงช่วยลดความเสี่ยงของการบริหารจัดการหนี้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี
ผู้เขียนเห็นว่า ยังมีสิ่งสะท้อนให้เห็นความน่ากังวลอยู่ นั่นคือการใช้จ่ายของภาครัฐในหลายช่วงจังหวะเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายในยามที่เกิดวิกฤติรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น ถือว่ายังขาดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญความเสี่ยงอยู่อีกหลายประการ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายโดยเฉพาะงบลงทุนซึ่งมีอยู่จำกัด ถูกเบียดบังไปกับรายจ่ายที่ไม่ช่วยในการพาเศรษฐกิจไทยไปต่อแบบยาวๆ แต่เราไม่ควรจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้
สิ่งที่รัฐบาลพึงต้องทำคือการวางแผนบริหารจัดการให้มีการจัดเก็บรายได้ให้มากขึ้น และนำไปใช้กับการลงทุนที่จะส่งผลตั้งต้นที่ดีต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
จากรายงานของธนาคารโลก รายได้จากภาษีอากรของไทยอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 16 ของ GDP เท่านั้น และรายได้ภาครัฐโดยรวมอยู่ในระดับที่ ‘ต่ำ’ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงด้วยกัน
รายงานการศึกษาของธนาคารโลก ได้เสนอการปฏิรูปภาษี 3 ด้าน ซึ่งหากดำเนินการทั้งหมดจะทำให้รายได้จากภาษีอากรเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.5 ของ GDP ดังนี้ คือ
1.พิจารณายกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และกลับไปจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10
2.เพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 32.5 ของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน รวมทั้งปรับปรุงระบบการลดหย่อนต่างๆ
3.ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
"อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของไทยนั้น จัดอยู่ในกลุ่มอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ"
นอกจากนี้ จากการคำนวณของธนาคารโลก พบว่ามูลค่าของสินค้าและบริการต่างๆ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นถึงประมาณร้อยละ 19 ของ GDP ซึ่งในหลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ดั้งเดิมนั้น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการสำหรับกิจการบางประเภท ก็เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
แต่สิ่งที่อาจต้องมาพิจารณากันใหม่คือ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นวิธีที่ได้ผลตามต้องการจริงหรือไม่ หรือที่จริงแล้วหากเราจัดเก็บภาษีอากรได้ครบถ้วนและมากขึ้น รัฐอาจจะสามารถใช้เงินงบประมาณในการดำเนินนโยบายหรือโครงการอื่น ที่ช่วยเหลือค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยได้ตรงจุดและยั่งยืนกว่าการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในส่วนของการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นภาษีอีกประเภทหนึ่งที่รายงานของธนาคารโลกกล่าวถึง ถึงแม้รายงานจะไม่ได้กล่าวในรายละเอียดมากนัก ผู้เขียนมีความเห็นว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำเป็นต้องมีการคิดใหม่ทำใหม่อย่างจริงจังโดยเร็ว
นอกจากปัญหาของการบริหารจัดการที่ยังมีความสับสนงุนงงแล้ว โครงสร้างของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือตัวอย่างของการลดภาระภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ตอบโจทย์หลักการความเป็นภาษีบนฐานของความมั่งคั่งแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินในอนาคตมากขึ้นอีกด้วย
ในรายงานของธนาคารโลกมีแผนภูมิภาพหนึ่งที่ผู้เขียนสนใจ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า ‘รายได้อื่นที่ไม่ใช่ภาษีอากร’ ของประเทศไทย อยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงด้วยกัน
หากถามว่าภาครัฐไทยมีโอกาสที่จะบริหารการจัดเก็บรายได้อื่นให้เพิ่มขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ เพื่อเป็นกระสุนในการลงทุน ที่จะนำพาเศรษฐกิจไทยไปต่อแบบยาวๆ ได้ไหม
ผู้เขียนเห็นว่ามีโอกาสอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐเพื่อก่อให้เกิดรายได้มากขึ้น อาทิ การจัดหาประโยชน์จากที่ดินไม่ว่าจะเป็นที่ราชพัสดุหรือที่ดินของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ อย่างมีประสิทธิภาพและมีหลักการบนความเสมอภาค การนำผลตอบแทนไปใช้ในการพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม หรือการลงทุนบางอย่างของรัฐ ที่อาจจะใช้วิธีนำทรัพย์สินไปร่วมลงทุนกับเอกชน ซึ่งจะได้ประสิทธิภาพและเทคโนโลยีจากภาคเอกชนมาสนับสนุน โดยรัฐจัดเก็บรายได้และผลประโยชน์จากการร่วมลงทุน
วิธีนี้อาจจะดีกว่ารัฐทำเองแล้วขาดทุนหรือขาดประสิทธิภาพ ปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการนำทรัพย์สินไปบริหารจัดการเพื่อให้เกิดรายได้ คือความโปร่งใส และการบริหารจัดการและจัดสรรความเสี่ยงที่เหมาะสม ในหลายๆ ครั้ง จุดอ่อนของโครงการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน คือ risk allocation ที่ไม่สมดุล
ผู้เขียนเชื่อว่าแรงในการพาเศรษฐกิจไทยไปต่อกันยาวๆ มีซุกซ่อนอยู่ในจุดต่างๆ เพียงรอเวลาที่จะถูกนำออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไปเท่านั้นเอง







