‘แต่งงานอินเดีย’ กับท่องเที่ยวไทย | วรากรณ์ สามโกเศศ

‘แต่งงานอินเดีย’ กับท่องเที่ยวไทย | วรากรณ์ สามโกเศศ

เมื่อมีข่าวออกมาว่าก่อนการระบาดของโควิด-19 มีคนอินเดียมาแต่งงานในไทยไม่ต่ำกว่า 400 คู่ต่อปี แต่ละคู่มีการใช้จ่ายเงินระหว่าง 5-20 ล้านบาทแล้วก็รู้สึกว่า “เว่อร์” พอควรเพื่อแสดงศักยภาพของการท่องเที่ยวไทย

แต่เมื่อผมลองเช็กดูก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว เพราะมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอย่างสูงทีดียว ปัจจุบัน ประชากรอินเดียแซงจีนไปแล้ว ยูเอ็นระบุว่ามีประชากรประมาณ 1,425 ล้านคนใน 8,000 ล้านคนของโลก

ดังนั้น ถ้ามีคนอินเดียที่มีเงินถุงเงินถังสักไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีจำนวนการแต่งงานที่อยู่ในข่ายใช้จ่ายครั้งละเป็นล้านๆ บาทอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เอาแค่ตัวเลขเบาะๆ สถิติของอินเดียระบุว่ามีสัดส่วนของคนสุดรวยอยู่ 1% อยู่ในชนชั้นรวยมาก 2% และคนระดับกลางช่วงบน (upper middle class) 7% รวมกันเป็น 10% หรือ 142 ล้านคน

‘แต่งงานอินเดีย’ กับท่องเที่ยวไทย | วรากรณ์ สามโกเศศ

ประเด็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่นักการตลาดระดับโลกและอินเดีย ก็คือมีจำนวนคนชั้นกลางอยู่มากน้อยเท่าใดในประเทศนี้ ซึ่งมีปัญหาในการเก็บสถิติและความเชื่อถือในความแม่นยำของตัวเลขอยู่ไม่น้อย แต่ดั้งเดิมเชื่อกันว่ามีอยู่ต่ำกว่า 100 ล้านคน

ต่อมาเมื่อดูจำนวนบุคคลผู้ยื่นภาษีในปี 2564-2565 ซึ่งมีอยู่ 58 ล้านคนก็เชื่อว่าน่าจะบวกไปอีก 100 ล้านคน ซึ่งเป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดินทำการเกษตรที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีจนมีตัวเลข 158 ล้านคน

ล่าสุด มีสองตัวเลขของจำนวนคนชั้นกลางที่พอน่าเชื่อถือ ตัวเลขแรกมาจากหน่วยงานของอินเดียชื่อ National Council of Applied Economic Research ระบุว่ามีอยู่ประมาณ 432 ล้านคนหรือ 1 ใน 3 ของประชากร คำจำกัดความก็คือ มีรายได้ครัวเรือนต่อปีอยู่ระหว่าง 500,000 ถึง 3 ล้านรูปี (รายได้ต่อคน 53,000-310,000 บาทต่อปี)

อีกตัวเลขหนึ่งของจำนวนคนชั้นกลางที่ใช้คำจำกัดความของรายได้ของคนชั้นกลางเหมือนกันคือ 356-456 ล้านคน

โดยสรุปคือ ตัวเลขของจำนวนคนชั้นกลางมีตั้งแต่ 158-432 และ 356-456 ล้านคน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า มีจำนวนระหว่าง 158-456 ล้านคน หากตัดตัวเลข 158 ที่ดูต่ำไปออกก็ได้ตัวเลขอยู่ประมาณ 350-450 ล้านคน และหากบวกตัวเลขของกลุ่มคนรวยอีก 142 ล้านคน

ก็สรุปได้ว่ามี “คนมีอันจะกิน” อยู่ระหว่าง 500-600 ล้านคนที่มาเที่ยวเมืองไทยได้ ส่วนผู้ที่จะสามารถจัดงานแต่งงานอลังการแบบอินเดียได้อาจมีอยู่ 142 ล้านคนหรืออาจถึง 200 ล้านคน

‘แต่งงานอินเดีย’ กับท่องเที่ยวไทย | วรากรณ์ สามโกเศศ

คราวนี้มาดูการแต่งงานแบบอินเดียหลังโควิด-19 กันว่าจะ “แต่งแบบล้างแค้น” กันมากน้อยเพียงใด The Confederation of All India Traders องค์กรสูงสุดด้านค้าขายชุมชนของอินเดีย ระบุว่าในเดือน พ.ย.และ ธ.ค.2565 มีการแต่งงานรวม 3.2 ล้านคู่ ซึ่งก่อให้เกิดธุรกิจมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านดอลลาร์ (1.6 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นกว่า 45% จากการแต่งงานในปี 2562 ทั้งปี

การแต่งงานของคนรวยในอินเดียนั้นจัดกันหลายวันและหลายการเลี้ยงฉลอง หากเป็นภายในประเทศก็จัดที่แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น รัฐราชสถานหรือรัฐกัว (ฝั่งตะวันตกของอินเดียมีหาดยาวงดงาม)

หากจัดในต่างประเทศสถานที่อันเป็นที่นิยมก็คือ ยุโรป (ปารีส, อิตาลี, โรม, Lake Como, Tuscany, Amalfi Coast) ตอนใต้ของฝรั่งเศส ฮังการี (บูดาเปสต์) ตะวันออกกลาง (โดฮา) ตุรกี (อิสตันบูล) ฯลฯ ส่วนภูเก็ตของไทยและแหล่งอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

โดยทั่วไปแต่ละคู่แต่งงานเหล่านี้ใช้เงินเกินกว่า 1 แสนดอลลาร์ (3.5 ล้านบาท) บางคู่ใช้จ่ายถึง 1-5 ล้านดอลลาร์ (35-175 ล้านบาท) สำหรับแขก 250-500 คน เงินส่วนใหญ่ใช้ไปกับการตกแต่งสถานที่ เครื่องประดับ การสร้างความสุขและความสะดวกสบายให้แก่แขก

หนังสือพิมพ์ The Economic Times ของอินเดียประเมินว่า การแต่งงานสองวันในสถานที่ท่องเที่ยวในอินเดียในโรงแรมห้าดาวสำหรับแขก 200 คนใช้เงินระหว่าง 370,000-600,000 ดอลลาร์ (12.8-20.7 ล้านบาท) และอาจมากกว่านี้อีกหากครอบครัวต้องการเพิ่มเติมบางสิ่งเป็นพิเศษ เช่น เชิญนักร้องวงดนตรีดังมาร่วมแสดงในงานเลี้ยง

หากแต่งงานนอกประเทศ ค่าใช้จ่ายประมาณ 792-913 ดอลลาร์ต่อแขกต่อวัน (27,000-32,000 บาท) สำหรับแขก 150-200 คน ยอดใช้จ่ายนี้ไม่รวมชุดเจ้าสาว เครื่องประดับและค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน เชิญให้แขกมาร่วมงาน

งานแต่งงานอินเดียของคนมีเงินโดยทั่วไปนั้นฉลองกันสุดๆ ไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน มีการฉลอง เลี้ยงอาหาร เครื่องดื่ม ดนตรี ฯลฯ 5-6 รายการ แขก 350 คน (แขก 200 คนถือว่าต่ำสุด) 

โรงแรมผู้จัดงานต้องจัดการเรื่องต้อนรับแขก ขนสัมภาระทั้งไปและกลับจากสนามบิน พร้อมทั้งดูแลแขกทั้งหมดเป็นอย่างดี อาหารบางเมนูก็อาจนำเข้าโดยตรง เพื่อให้แขกมีความสุข อันถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของครอบครัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวพึงให้ได้

อินเดียมีศักยภาพในการเป็นตลาดท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก (เฉพาะในปี 2565 มีจำนวน 5-6 แสนคนและในปี 2566 คาดว่าจะถึง 1.4 ล้านคน) ทั้งท่องเที่ยวปกติและการแต่งงาน เมื่อดูตัวเลขคนมีเงินที่ออกท่องเที่ยวได้ถึง 500-600 ล้านคน

และในจำนวนนี้ 142-200 ล้านคนสามารถจัดแต่งงานอย่างหรู ก็บอกได้เลยว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมาถูกทางแล้วมีจำนวน 5-6 แสนคนและในปี 2566 คาดว่าจะถึง 1.4 ล้านคน) ทั้งท่องเที่ยวปกติและการแต่งงาน

เมื่อดูตัวเลขคนมีเงินที่ออกท่องเที่ยวได้ถึง 500-600 ล้านคน และในจำนวนนี้ 142-200 ล้านคนสามารถจัดแต่งงานอย่างหรู ก็บอกได้เลยว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมาถูกทางแล้ว

ในโลกปัจจุบันประเด็น “ความยั่งยืน” แทรกอยู่ในแทบทุกอณูของความคิด จึงขอตั้งคำถามว่าเราควรจัดการเรื่องท่องเที่ยวอย่างไรในหลายลักษณะ เพื่อสร้างงานและรายได้ ตลอดจนได้รับเงินตราต่างประเทศอย่างยั่งยืน