กฟผ. ปั้นธุรกิจเวลเนสรอบ 9 เขื่อนทั่วประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

กฟผ. ปั้นธุรกิจเวลเนสรอบ 9 เขื่อนทั่วประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

กฟผ. ผนึกกฎบัตรไทย และเครือข่าย 10 มหาวิทยาลัย พัฒนาพื้นที่เป้าหมายรอบเขื่อน กฟผ. 9 แห่งทั่วประเทศสู่ธุรกิจเวลเนส รองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หวังฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในการเปลี่ยนไทยเป็นประเทศรายได้สูง

นายฐาปนา บุณยประวิตร นายกสมาคมการผังเมืองไทย กรรมการและเลขานุการกฎบัตรไทย ร่วมกับนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และเครือข่าย 10 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยพายัพ และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ลงนามข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจการแพทย์ การส่งเสริมสุขภาพ พลังงานสะอาด และการส่งเสริมการลงทุนในเขตนวัตกรรมและพื้นที่ของ กฟผ. เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ 

นายฐาปนา เปิดเผยว่า ไทยเป็น 1 ใน 6 ประเทศของเอเชียที่มีขีดความสามารถสูงด้านการแพทย์และบริการสุขภาพ โดย Global Wellness Institute (GWI) คาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มเศรษฐกิจเวลเนสจนถึงปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ความร่วมมือระหว่างเครือข่ายกฎบัตรไทยกับ กฟผ. ในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับเขื่อนของ กฟผ. และพื้นที่ชุมชนโดยรอบที่มีศักยภาพสู่ธุรกิจเวลเนส ยกระดับเป็นเขตนวัตกรรมการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ เขตนวัตกรรมการท่องเที่ยวมูลค่าสูง และเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ผ่านการพัฒนารูปแบบธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยี พัฒนาเครือข่ายการตลาด ส่งเสริมการจ้างงานและเศรษฐกิจชุมชน รวมถึงประสานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการภายใต้กรอบระยะเวลา 5 ปี เพื่อร่วมกันยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในการเปลี่ยนไทยให้เป็นประเทศรายได้สูงในปี 2580

นายบุญญนิตย์ กล่าวว่า กฟผ. ได้พัฒนาสินทรัพย์ บริการ และแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อนต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นทุนทางสังคม หรือ Soft Power ที่สามารถต่อยอด สร้างผลกระทบเชิงบวกทางด้านเศรษฐกิจมูลค่าสูงต่อชุมชนโดยรอบมา และช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายกฎบัตรไทยในครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาพื้นที่เขื่อนและชุมชนโดยรอบของ กฟผ. สู่ธุรกิจด้านสุขภาพแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพัฒนาพลังงานสะอาด สนับสนุนนวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ชุมชน โดย กฟผ. จะจัดทำแผนแม่บทบูรณาการเชื่อมโยงร่วมกับกฎบัตรไทยและเครือข่ายมหาวิทยาลัยในแต่ละภาคของประเทศ เพื่อกำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ประจำภาคสำหรับพัฒนาชุมชนในแต่ละจังหวัด โดยมีเขื่อนของ กฟผ. เป็นศูนย์กลางดำเนินงานและเชื่อมโยงสู่ชุมชน

ทั้งนี้ จะนำร่องในพื้นที่เป้าหมาย 9 แห่งทั่วประเทศ ดังนี้

- ภาคเหนือ  2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ และเขื่อนภูมิพล จ.ตาก

- ภาคใต้  2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้ากระบี่ จ.กระบี่ และเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี 

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ 

- ภาคตะวันตก 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี

“กฟผ. เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นกลไกที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ช่วยสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ที่สำคัญคือ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้ยังได้ประสานงานกับโรงพยาบาลใน เครือข่ายให้สามารถใช้สิทธิ์ในการดูแลรักษาพยาบาล ตามสิทธิ์ของผู้ป่วยได้ เบื้องต้นจะเริ่มดำเนินการได้ภายในสองถึงสามเดือน นำร่องที่เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี โดย 9 เขื่อนมีห้องพักรองรับมากกว่า 1,000 ห้อง”