'ซีวิล' คาดโกยรายได้ปีนี้ 6 พันล้านบาท ลุ้นงานภาครัฐคึกคักรับรัฐบาลใหม่

'ซีวิล' คาดโกยรายได้ปีนี้ 6 พันล้านบาท ลุ้นงานภาครัฐคึกคักรับรัฐบาลใหม่

“ซีวิล” คาดโกยรายได้ปีนี้ 6 พันล้านบาท หลังมูลค่างานในมือพุ่งต่อเนื่อง 1.1 หมื่นล้านบาท ล่าสุดเตรียมลงนามสัญญาสร้างไฮสปีดเทรนไทย – จีน ช่วงบ้านโพ – พระแก้ว ประเมินงานก่อสร้างภาครัฐจ่อคึกคักปลายปี รับจัดตั้งรัฐบาลใหม่

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้ โดยระบุว่า บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีรายได้รวมใกล้เคียงกับปีก่อนอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันโครงการก่อสร้างของภาครัฐยังคงชะลอตัว เนื่องจากต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่บริษัทฯ ยังมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 11,042 ล้านบาท อีกทั้งหากรวม Backlog โครงการที่บริษัทฯ ประมูลได้แล้ว และอยู่ระหว่างการลงนามสัญญา ยังมีมูลค่าถึง 22,956 ล้านบาท

“การแข่งขันในตลาดตอนนี้เงียบ เนื่องจากต้องรอรัฐบาลใหม่ หน่วยงานต่างๆ ยังรอการเปิดประมูลโครงการใหม่ ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า น่าจะเริ่มกลับมาคึกคัก แต่ในส่วนของบริษัทฯ ปัจจุบันมีงานในมืออยู่เพียงพอ และยังมีงานที่รอลงนามสัญญาใหม่ด้วย ทำให้มั่นใจว่าเพียงพอต่อการดำเนินงานในปีนี้ และเรียกได้ว่างานก่อสร้างที่รอลงนามเกินความคาดหมายที่วางไว้ในปีนี้แล้ว”

สำหรับในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ประมูลงานใหม่มาได้ 1,272 ล้านบาท ประกอบด้วย งานก่อสร้างระบบกรมชลประทาน บ้านฉาง - ไทรน้อย 1,107 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นงานก่อสร้างทางถนน และงานก่อสร้างรันเวย์ ท่าอากาศยานพิษณุโลก เป็นต้น โดยงานในมือที่เกิดขึ้นนั้น จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นงานที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2567 – 2569

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีงานที่เข้าประมูลและเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด ซึ่งเตรียมลงนามสัญญาเพิ่มเติมภายในปีนี้ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ไทย - จีน สัญญาที่ 4 – 5 ช่วงบ้านโพ - พระแก้ว มูลค่า 10,326 ล้านบาท โดยคาดว่าจะลงนามสัญญาราวเดือน มิ.ย. - ก.ค.นี้

ขณะเดียวกันยังมีงานที่เตรียมเข้าร่วมประมูล เช่น โครงการทางพิเศษ ช่วงจตุโชติ - นครนายก ประมาณ 8,000 ล้านบาท งานสนามบินอู่ตะเภา 15,000 ล้านบาท โครงการต่อขยายทางยกระดับ ดอนเมืองโทลล์เวย์ M5 ประมาณ 31,000 ล้านบาท และไฮสปีดเทรนไทย - จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย อีกราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนาโครงการไฮสปีดเทรนนี้ และมองว่าจะเป็นโอกาสงานที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง

นายปิยะดิษฐ์ เปิดเผยด้วยว่า ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทฯ ยังเป็นรายได้ที่มาจากงานก่อสร้างสัดส่วน 95% และรายได้จากธุรกิจจำหน่ายหินและผลิตภัณฑ์อื่นราว 5% โดยแผนดำเนินงานหลังจากนี้บริษัทฯ จะต่อยอดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจจำหน่ายหินและผลิตภัณฑ์อื่นให้มากขึ้น รวมไปถึงจะขยายโอกาสในการรับงานก่อสร้างภาคเอกชน เพื่อปรับสัดส่วนรายได้ให้เติบโตเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนี้จะเน้นลงทุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อลดต้นทุนด้านแรงงานด้วย

ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วงไตรมาส 1/2566 มีรายได้รวม 1,447.09 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,649.42 ล้านบาท หรือลดลง 202.33 ล้านบาท คิดเป็น 12.27% และมีกำไรสุทธิ 47.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.67 ล้านบาท คิดเป็น 19.02% โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน 64.21 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 9.27% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 8.49%