พาณิชย์ เตรียมนำทัพผู้แทนไทยลุยดูไบ เดินหน้าเจรจา FTA ไทย – ยูเออี รอบแรก

พาณิชย์ เตรียมนำทัพผู้แทนไทยลุยดูไบ เดินหน้าเจรจา FTA ไทย – ยูเออี รอบแรก

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมนำทัพผู้แทนไทยเดินหน้าเจรจา FTA ไทย – ยูเออี รอบแรก 16 – 18 พ.ค.นี้ ที่ดูไบ ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและวางแผนงานการเจรจาแต่ละรอบ พร้อมเริ่มหารือข้อบทความตกลงทันที ตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาโดยเร็วที่สุด

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมมีกำหนดจะนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมเจรจาจัดทำ CEPA ไทย – ยูเออี ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 16 – 18 พ.ค. 2566 ณ เมืองดูไบ หลังจากที่ไทยได้ประกาศเปิดการเจรจา FTA หรือที่เรียกว่า CEPA กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยไทยและยูเออีตั้งเป้าหมายร่วมกันที่จะสรุปผลการเจรจา CEPA ไทย – ยูเออี ให้ได้โดยเร็วที่สุด

สำหรับการประชุมเจรจาจัดทำ CEPA ไทย – ยูเออี ครั้งที่ 1 สองฝ่ายจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นและวางแผนงานสำหรับการเจรจาในแต่ละรอบ รวมทั้งจะเริ่มหารือข้อบทความตกลง โดยในการเจรจารอบแรกจะมีทั้งการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้า (Trade Negotiation Committee) เพื่อกำกับดูแลและติดตามการเจรจาในภาพรวม และการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อย จำนวน 9 คณะ ได้แก่ 1. การค้าสินค้า 2. กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 3. พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 4. มาตรการเยียวยาทางการค้า 5. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และ MSMEs 6. กฎหมายและสถาบัน 7. ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 8.ทรัพย์สินทางปัญญา และ 9. การค้าบริการ และการค้าดิจิทัล

ทั้งนี้ ยูเออีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 1 ในตะวันออกกลาง โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับยูเออี มีมูลค่า 20,824.2 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 73.9%  จากปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปยูเออี มูลค่า 3,420.2 ล้านดอลลาร์ และไทยนำเข้าจากยูเออี มูลค่า 17,404 ล้านดอลลาร์

สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญจากยูเออี เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เป็นต้น สำหรับในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค. – มี.ค. 2566) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 4,697.6 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  6.6%  โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 856.9 ล้านดอลลาร์ และเป็นการนำเข้ามูลค่า 3,840.7 ล้านดอลลาร์