กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย

กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย

กรมประมง เดินหน้าผลักดันสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ 14 ชนิด พร้อมขับเคลื่อนตามแผนปฏิบัติ การพัฒนาสัตว์น้ำจืดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2565 - 2570 มุ่งยกระดับความสามารถการพัฒนาศักยภาพการผลิตสัตว์น้ำและธุรกิจเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่คุณค่า

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมง ได้ดำเนินการขับเคลื่อนงาน                 ตามแผนพัฒนาสัตว์น้ำจืด​ที่​มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2565-2570 ที่มุ่งพัฒนาการผลิตสัตว์น้ำจืด                 และพัฒนาธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ให้มีประสิทธิภาพผ่านกลไกความร่วมมือของคณะกรรมการ                   คณะอนุกรรมการและคณะทำงานขับเคลื่อนตามแผนปฏิบัติการพัฒนาสัตว์น้ำจืดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจฯ

กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กรมประมง ดัน 14 สัตว์น้ำจืด ยกระดับเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย

 

                  ดังกล่าว ในรูปแบบการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ของหน่วยงานกรมประมงทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค                   ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งจากเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีการแต่งตั้งคณะทำงาน                   ขับเคลื่อนฯ หรือ มิสเตอร์สัตว์น้ำรายชนิด จำนวน 14 ชนิด ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วย                  ปลานิล ปลาดุก ปลาช่อน ปลาแรด ปลาสลิด ปลาตะเพียนขาว ปลาสวาย กบนา ปลาหมอ ปลายี่สกเทศ                  ปลานวลจันทร์เทศ ปลากดหลวง ปลาเทโพ และปลากดเหลือง

ซึ่งเป็นผู้ประสานงานหลัก               
ในการขับเคลื่อนตามแผนปฏิบัติการพัฒนาสัตว์น้ำฯ ใน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม  การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร และการตลาด เพื่อเป็นแนวทาง                ในการขับเคลื่อนสู่การการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร                                    และผู้ประกอบการ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของการผลิตสัตว์น้ำและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นำไปสู่การ                         พัฒนาสัตว์น้ำจืดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้ง 14 ชนิดได้ทั้งระบบ และเพิ่มขีดความสามารถ                                ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การสร้างความมั่นคงด้านอาชีพของเกษตรกร และการพัฒนา                               ภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดได้อย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน

ด้านนายธเนศ พุ่มทอง ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กรมประมง           กล่าวเพิ่มเติมว่า...ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก          ที่มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เพื่อให้มีผลผลิตสัตว์น้ำให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและสามารถส่งออกไปแข่งขันในตลาดโลกได้ ตลอดจนการบริหารจัดการภาคการเพาะเลี้ยง               สัตว์น้ำจืดได้อย่างยั่งยืน

โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรมและโครงการต่างๆ เพื่อมุ่งเน้นให้มีการบริหารจัดการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ด้านผลผลิตสัตว์น้ำ เกิดความมั่นคงด้านอาหารสัตว์น้ำจืด ผ่านการดำเนินโครงการพัฒนาต่างๆ

โดยในปี พ.ศ.2565 ที่ผ่านมานั้น ได้ดำเนินการนำร่องการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง                  สัตว์น้ำฯ ภายใต้โครงการส่งเสริมอาชีพประมง กิจกรรมพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ                      ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ 14 ชนิดดังกล่าวไปแล้วกว่า 390 ราย ซึ่งได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดีและในปี พ.ศ. 2566 ยังมุ่งเน้นการพัฒนาฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ให้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้นอีกกว่า 410 ราย เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มการเพาะเลี้ยง สร้างความเข้มแข็ง        และพัฒนากลุ่ม ถอดบทเรียนเกษตรกรต้นแบบ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การแปรรูปและเพิ่มมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำ ตลอดจนการประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อวางแผนการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผ่านกลไกความร่วมมือของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาสัตว์น้ำจืดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2565-2570 ของกรมประมง

โดยหนึ่งในคณะทำงานด้านการขับเคลื่อนฯ นายรัฐภัทร์ ประดิษฐ์สรรพ์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยและพัฒนา                  เทคโนโลยีและนวัตกรรม กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กล่าวเพิ่มเติมในฐานะ มิสเตอร์ปลานิลว่า...“ปลานิล” จัดเป็นปลาน้ำจืดอีกชนิดหนึ่งที่กรมประมงได้ให้ความสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมการพัฒนา                     การเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ จากการรวบรวมข้อมูลสถิติ โดยกองตรวจสอบเรือประมง สินค้าสัตว์น้ำ                  และปัจจัยการผลิต กรมประมง พบว่า ปริมาณและมูลค่าการส่งออกปลานิลของประเทศไทย ในปี 2565 นั้น                   มีปริมาณการส่งออก 8,101.01 ตัน คิดเป็นมูลค่า 504.14 ล้านบาท นอกจากนี้กรมประมงได้มีการเพาะพันธุ์               ปลานิลและจำหน่ายให้เกษตรกรภายใต้กองเงินทุนหมุนเวียน ของกรมประมง ซึ่งในทั้งปีงบประมาณ 2565                     สามารถจำหน่ายลูกพันธุ์ปลานิล ได้จำนวน 124,987,560 ตัว เป็นเงิน 35,618,668 บาท แสดงให้เห็นว่า                ปลานิลยังคงเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโต และควรผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566                   คณะทำงานขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาปลานิล ได้กำหนดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปลานิล                                 ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยง                     ด้วยการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัย เข้ามาช่วยในการเพาะเลี้ยง เพื่อผลิตปลานิลให้ได้คุณภาพ        อย่างมีมาตรฐาน ตลอดจนเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการหาช่องทางการตลาดคุณภาพที่สามารถรองรับปริมาณผลผลิตจำนวนมาก เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาปลานิลล้นตลาด โดยล่าสุดนี้ กรมประมง ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน                   ในการสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสมาคมปลานิลไทย (Thai Tilapia Association) ไปเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2565                 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนเกษตรกรเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้                
และประสบการณ์ การผลิตและการตลาด ตลอดจนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงและส่งออกปลานิล                    เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

"ในอนาคต กรมประมง มีแนวทางในการที่จะส่งเสริม                    การผลิตสัตว์น้ำทั้ง 14 ชนิด ให้ได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจนทั้งด้านการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสัตว์น้ำครบวงจร พัฒนาสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร                      และการพัฒนาด้านการตลาด โดยการส่งเสริมขยายตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้ความร่วมมือ        ของทุกภาคส่วน ควบคู่ไปกับการจัดทำข้อมูล ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสัตว์น้ำจืดทั้ง 14 ชนิด อย่างยั่งยืน                            โดยการพัฒนาองค์ความรู้ของเกษตรกร เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ"