“จีจีซี” ย้ำจุดยืนเบอร์ 1 ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม ผ่าน 3 พอร์ทธุรกิจ

“จีจีซี” ย้ำจุดยืนเบอร์ 1 ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม ผ่าน 3 พอร์ทธุรกิจ

“เอ็มดี” ใหม่ “จีจีซี” ชู 3 พอร์ทะุรกิจ ย้ำจุดยืนเบอร์ 1 ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม มั่นใจ EBITDA ปี 2569 เพิ่ม 2 เท่าจาก 1,700 ล้าน สู่ 3,000 ล้าน และเพิ่มเป็น 5,000 ล้าน ในปี 2573 ตั้งงบลงทุนปีนี้กว่า 2,500 ล้าน ผุดธุรกิจมูลค่าสูง หนุนองค์กรเติบโตยั่งยืน

นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC กล่าวว่า พร้อมสานต่อวิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน” ภายใต้กลยุทธ์ “The New Chapter of GGC to be the Sustainable Growth Business” สู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน มุ่งเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจปัจจุบัน และสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้วยแนวคิด “GGC DNA”

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าผลักดันอัตรากำไรก่อนจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโต 2 เท่า จาก 1,700 ล้านบาท สู่ 3,000 ล้านบาท ในปี 2569 และเพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท ในปี 2573 ภายใต้การดำเนินงานตาม 3 ยุทธศาสตร์หลัก เพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาว คือ 

1. ยุทธศาสตร์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน (Enhance Competitiveness) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Enhance Competitiveness) และสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) เพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่กดดันต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการสร้างผลกำไรอย่างเต็มความสามารถ โดยมุ่งเน้น

1. การบริหารจัดการต้นทุน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันตลอดห่วงโซ่อุปทานและสร้างการ Integrate ในมาบตาพุด (Supply Chain Management & MTP Integration) 2. การสร้างความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติการ (Operational Excellence) และ 3. การสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดและการต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Strengthen Home Base Market & Transform to High Value Business) ยกระดับการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศสู่มาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil : RSPO) และต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่มีมูลค่าสูงขึ้น (High Value Product : HVP)

2. ยุทธศาสตร์การเติบโตในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Growth Portfolio) การมุ่งเน้นสร้างการเติบโตผ่านการลงทุนต่อยอดในธุรกิจเดิม และลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel Business) อาทิ การผลิตไบโอเจ็ท ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน 2 เทคโนโลยี ที่มาจากเอทานอล และน้ำมันพืชใช้แล้ว คาดว่า จะมีความชัดเจนภายในปีนี้ 2. ธุรกิจเคมีชีวภาพ (Biochemical Business) และ 3. ธุรกิจส่วนประกอบอาหารและโภชนเภสัช (Food ingredient & Nutraceutical Business) ในลักษณะของอาหารเสริมและเครื่องสำอาง โดยจะเปิดโอกาสและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความสามารถทางด้านตลาดเข้ามาร่วมลงทุนด้วย

3. ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability Development) เพื่อการเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการอย่างยั่งยืน (Sustainable Company) และเน้นย้ำถึงบทบาทความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน บริษัทฯ ได้ยึดถือกรอบการดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ครอบคลุมการดำเนินงาน 3 มิติ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ด้านสังคม (Social) และ ด้านการกำกับดูแล (Governance) 

“เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งจะโฟกัสธุรกิจปลายน้ำในกลุ่มโอลีโอเคมีคอลจากการขยายพอร์ตลงทุนใน 3 ธุรกิจ และการที่มีพันธมิตรร่วมลงทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนมาร์จิ้นให้กับบริษัทในอนาคต ซึ่งกลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหารและโภชนเภสัช โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ 2-3 ราย เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตเครื่องสำอาง จะสรุปพันธมิตรได้ในช่วงกลางปีนี้”

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2566 ยังมีความท้าทายและปัจจัยภายนอกหลายประการ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือ โดยบริษัทได้จัดเตรียมงบลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 500 ล้านบาทสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และอีก 2,000 ล้านบาทสำหรับรองรับการลงทุนโครงการใหม่ ๆ ที่จะเป็นในส่วนของการลงทุนธุรกิจใหม่ 

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินในปีนี้ คาดว่า รายได้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2565 ที่มีรายได้ รวมอยู่ที่ 25,084 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 953 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายเมทิลเอสเทอร์ หรือ B100 จะเพิ่มขึ้น 20-30% หากรัฐส่งเสริมสัดส่วนการผสม B100 ในน้ำมันดีเซล เป็น B10 และจากแรงกดดันด้านราคาขายผลิตภัณฑ์ จากซัพพลายใหม่ที่เข้ามาในตลาด จึงยากที่ยอดขายปีนี้จะทำสถิติใหม่ (นิวไฮ) แต่จะพยายามรักษาผลการดำเนินงานไม่ให้ด้อยกว่าปีที่ผ่านมา

“ปริมาณยอดขายปีนี้น่าจะสูงขึ้น มาจากปัจจัยการเปิดประเทศของจีน รวมถึงนโยบายรัฐบาล ทั้งการสนับสนุนผลิตภัณฑ์โดรวมของบริษัท แต่ด้วยภาวะการกดดันทางเรื่องเศรษฐกิจ สหรัฐที่ยังคงต้องเพิ่มดอกเบี้ย จึงเป็นตัวกดดันตลาดทำให้ราคาต่ำลง ดังนั้น ฝ่ายบริหารยังคงมุ่งมั่นทำกำไรให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา”