กรมศุลฯปรับนโยบาย 'ตรวจค้น' รับเปิดประเทศ

ศุลกากรขานรับนโยบายเปิดประเทศ สั่งทุกด่านห้ามตรวจตรวจค้นนักท่องเที่ยวรายตัวแม้จะมีของติดตัวมูลค่าสูงเว้นแต่จะได้รับรายงานเป็นการนำเข้าเชิงพาณิชย์

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากรเปิดเผยว่า ในช่วงที่รัฐบาลเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว ทางกรมฯได้ออกนโยบายไปยังด่านศุลกากรทั่วประเทศให้อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว โดยจะไม่ตรวจค้นตัวนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ แม้ว่าจะมีของนำเข้าติดตัวมาที่มีมูลค่าสูงเข้ามาก็ตาม
ทั้งนี้ นโยบายอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศดังกล่าวนั้น เป็นนโยบายของนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ที่ต้องการอำนวยความสะดวกและไม่สร้างภาระให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย
“ห้ามจ้าหน้าที่ศุลกากรค้นตัว หากเขามีของใช้ใส่ติดตัวมา อย่าไปยุ่งกับเขา เพราะอธิบดีให้นโยบายว่า อย่าสร้างภาระให้กับนักท่องเที่ยว หากไม่มีข้อมูลว่าเป็นคนที่นำเข้ามาเพื่อการพาณิชย์ หากเราไปตรวจค้นทุกคน คงโดนด่า”
เขากล่าวว่า จะไม่มีการค้นตัวนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้ว่านักท่องเที่ยวรายนั้น จะสะพายกระเป๋าหรูราคาแพงมูลค่าหลายแสน หรือสวมนาฬิกาหรูที่มูลค่าสูงหลายล้านก็ตาม หากเป็นการสวมใส่ เพื่อใช้เป็นส่วนตัว หรือเป็นของใช้ส่วนตัว ไม่ได้นำเข้าเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ เช่น ไม่ได้ใส่กล่องมา เป็นต้น
ทั้งนี้ กรณีที่เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร จะดำเนินขอค้นตัวนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ คือ กรณีมีข้อมูลทางลับที่แจ้งให้ทราบว่า มีการลักลอบนำเข้าหรือกรณีที่มีการแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เป็นของติดตัว เช่น สวมนาฬิกาหลายเรือนบนข้อมือ เป็นต้น
เขากล่าวอีกว่า กรมศุลกากร ให้ความสำคัญในเรื่องภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ดังนั้น หากอยู่ๆเราจะไปตรวจค้นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่มีเบาะแสมาก่อน ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่และกรมฯ

นอกจากนี้ ในรื่องภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรนั้น ผู้ปฏิบัติหน้าที่ จะต้องแต่งเครื่องแบบทุกคน เพื่อให้นักท่องเที่ยวทราบชัดเจนว่า เราเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมฯ
สำหรับระเบียบปฏิบัติของกรมศุลกากรในเรื่องการนำของติดตัวเข้ามาทางท่าอากาศยานนั้น ในกรณีผู้โดยสารเดินเข้าช่องไม่มีไม่มีสิ่งของต้องสำแดง หรือ ช่องเขียว (Nothing to declare) หมายถึง ผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งไม่มีของต้องชำระภาษีอากร ไม่มีของต้องห้าม หรือของต้องกำกัดเข้ามาพร้อมกับตน ให้เดินผ่านช่องตรวจเขียวหรือช่องไม่มีของต้องสำแดง โดยของที่ได้รับยกเว้นอากรมี ดังนี้1.ของใช้ส่วนตัวที่มีปริมาณพอสมควรสำหรับใช้ส่วนตัวและมีมูลค่ารวมทั้งหมดไม่เกิน 2 หมื่น บาท ซึ่งไม่ใช่ของต้องห้าม ต้องกำกัด หรือเสบียงอาหาร
2.บุหรี่ไม่เกิน 200 มวนหรือยาสูบไม่เกิน 250 กรัมหรือน้ำหนักรวมทั้งหมดทุกประเภทไม่เกิน 250 กรัม
3.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปริมาตรไม่เกิน 1 ลิตร
4.หากนำบุหรี่ ยาสูบ หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้ามาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด โปรดหย่อนใส่กล่องที่กรมศุลกากรจัดไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี
ทั้งนี้ กรมศุลกากรเน้นอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารโดยระบบบริหารความเสี่ยง (Risk Management) มาใช้ในการคัดเลือกตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร
กรณีการตรวจสัมภาระผู้โดยสารขาเข้า ณ ช่องมีสิ่งของต้องสำแดงหรือ ช่องแดง (Goods to declare)กรณีที่ 1 เป็นของติดตัวผู้โดยสาร ซึ่งไม่มีลักษณะเป็นเชิงการค้าและมีมูลค่าไม่เกิน 2 แสนบาท เจ้าหน้าที่ศุลกากร จะคำนวณค่าภาษีอากรปากระวาง
กรณีที่ 2 เป็นของต้องห้าม และ/หรือต้องกำกัดที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำเข้าจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ในปีนี้รัฐบาลคาดหวังการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 12 % ของจีดีพีในช่วงก่อนเกิดโควิดระบาดในประเทศไทย หรือก่อนปี 2563
ทั้งนี้ในปี 2566กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 3.8% เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำ นวน 27.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 147% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น