'ชาย เอี่ยมศิริ' นั่ง CEO การบินไทยวันแรก สานต่อแผนฟื้นฟู ดันกำไรยั่งยืน

“ชาย เอี่ยมศิริ” นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) การบินไทยวันแรก ตั้งเป้าสานต่อแผนฟื้นฟูกิจการ สร้างกำไรเข้าองค์กรยั่งยืน หลังผ่านวิกฤติหยุดเลือดไหล โชว์แคชโฟว์ในมือ 3 หมื่นล้านบาท
รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันนี้ (1 ก.พ.) นายชาย เอี่ยมศิริ ได้เข้าเริ่มงานวันแรกในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ หลังจากวานนี้ (31 ม.ค.) การบินไทยได้จัดพิธีรับมอบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ โดยมี นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่งมอบงาน และแสดงความยินดีแก่ นายชาย เอี่ยมศิริ โดยมีฝ่ายบริหาร และพนักงานร่วมแสดงความยินดี ซึ่งนายชาย เอี่ยมศิริ จะสานต่อการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย เพื่อให้การบินไทยกลับมาสร้างกำไรอย่างยั่งยืนต่อไป
นายชาย เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ปัจจุบันการบินไทยอยู่ในจุดที่สามารถมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะแนวโน้มการเดินทางของผู้โดยสารเริ่มกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาการบินไทยได้ทำตามแผนฟื้นฟูในส่วนของการปรับลดค่าใช้จ่าย และต้นทุน รวมไปถึงขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ส่งผลให้ขณะนี้ถือได้ว่าการบินไทยผ่านพ้นวิกฤติของการหยุดเลือดไหล และกำลังเข้าสู่ช่วงของการหารายได้อย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ตนมีแผนดำเนินงานที่จะนำมาใช้ในการบริหารองค์กรการบินไทยหลังรับตำแหน่ง เน้นหลัก 3 ส่วนสำคัญ คือ
1.การสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) โดยเฉพาะผู้โดยสารที่เป็นลูกค้าของเรา จะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการ
2.เจ้าหนี้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นส่วนสำคัญที่การบินไทยต้องให้ความสำคัญ เพราะเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต้องอยู่ร่วมกับการบินไทย แม้จะออกจากแผนฟื้นฟูแล้วการทำธุรกิจก็ยังต้องมีเจ้าหนี้และลูกหนี้เสมอ ดังนั้นการบินไทยจะให้ความสำคัญกับการชำระหนี้ ต้องไม่ผิดนัดชำระ ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำมาตลอด อีกทั้งจะต้องมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับเจ้าหนี้เพื่อสร้างความมั่นใจอยู่เสมอ
3.พนักงาน ส่วนนี้เป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อนองค์กร ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับพนักงานซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับทุกอย่างในองค์กร หากพนักงานมีความเชื่อมั่นต่อองค์กร ก็จะทำให้แผนฟื้นฟูหรือแผนบริหารจัดการงานทุกอย่างสำเร็จไปในทิศทางเดียวกัน โดยปัจจุบันการบินไทย และสายการบินไทยสมายล์ ซึ่งเป็นบริษัทลูก มีพนักงานร่วมกันราว 14,900 คน
“ผมมีความมั่นใจว่าจะสามารถนำบริษัท ออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2568 อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาปีกว่าเราพิสูจน์ตัวเองมาตลอดกว่าการบินไทยเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งไม่มีใครคิดว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่เราสามารถหารายได้ และมีกระแสเงินสดสูงถึง 3 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้พึ่งพาใคร พนักงานก็เสียสละ คู่ค้าก็ให้ความร่วมมือ จึงอยู่มาได้ถึงวันนี้ ดังนั้นการเดินต่อไปจึงมั่นใจมากว่าทำได้แน่นอน แม้แต่เจ้าหนี้ก็มั่นใจและพร้อมให้กู้ตลอดเวลา”
รวมทั้งในขณะนี้การบินไทยอยู่ในจุดที่คุมต้นทุนได้แล้ว ดังนั้นในปี 2566 เป็นต้นไปจะเป็นช่วงของการหารายได้กับเงินที่มีอยู่ต้องต่อยอดมีรายได้เพิ่มมากขึ้น หาประโยชน์ และทำให้เงินเหล่านี้พอกพูน ซึ่งตนมีแนวคิดที่จะนำกระแสเงินสดในมือไปลงทุนให้ได้ประโยชน์ อาทิ การฝากเงิน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากดอลลาร์ ซึ่งอยู่ที่เกือบ 3% เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินบาทที่ไม่ถึง 1% เป็นต้น
นอกจากนี้ การบินไทยยังอยู่ระหว่างนำสินทรัพย์ประเภทอาคารมาเปิดเช่าเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น เช่น อาคารสำนักงานใหญ่การบินไทย สาขาวิภาวดี และยังมีสินทรัพย์สำนักงานทั้งใน และต่างประเทศที่อยู่ระหว่างประกาศขาย ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ พิษณุโลก โรม (อิตาลี) อังกฤษ อินโดนีเซีย และฮ่องกง แต่สินทรัพย์เหล่านี้การบินไทยจะทำการขายต่อเมื่อมีข้อเสนอราคาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์กร
“ตอนนี้การบินไทยเราผ่านพ้นช่วงที่ต้องเร่งขายสินทรัพย์เพื่อหากระแสเงินสดแล้ว แต่เราก็ยังคงประกาศขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อหาเงินให้องค์กรไปใช้ประโยชน์สูงสุด แต่ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการขาย จะต้องหาข้อเสนอที่มีผลตอบแทนสูงสุด หรืออาจมีความเป็นไปได้ในการปรับแผนไม่ขายแต่เป็นการประกาศเพื่อปล่อยเช่าแทน ซึ่งจะทำให้การบินไทยมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
ขณะเดียวกัน การบินไทยยังมีแผนผลักดันหน่วยธุรกิจย่อยที่มีศักยภาพนำไปต่อยอดจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ ร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม อาทิ ครัวการบิน คาร์โก้ ฝ่ายช่างหรือศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยปัจจุบันการบินไทยยังอยู่ระหว่างศึกษาแผน และจัดหาพันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมลงทุน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะถือเป็นช่วงที่การบินไทยต้องมองหาโอกาสของการต่อยอดธุรกิจ
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของการบินไทยในปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นช่วงของการทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มมีกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่เดือนพ.ค.2565 และในเวลานี้มีกระแสเงินสด (cash flow) ที่ดีมากอยู่ในระดับ 3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นแผนต่อไปนอกจากขับเคลื่อนการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกำหนดแล้ว การบินไทยจะโฟกัสการหารายได้ และจะสร้างผลประโยชน์ตอบแทนจากเงินสดในมือที่มีอยู่ให้มากขึ้น
ทั้งนี้ความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการ ณ วันที่ 15 ธ.ค.2565 ผู้บริหารแผนได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผน โดยการชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ยคงค้างจนถึงวันที่ 15 พ.ย. 2565 รวมเป็นเงินประมาณ 1.9 พันล้านบาท และบริษัท ไม่ได้มีการผิดนัดชำระตามแผนกำหนดไว้
ส่วนความคืบหน้าการขายทรัพย์สินรองที่ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตแล้ว บริษัทได้ส่งมอบเครื่องยนต์ CFM56-3C1 จำนวน 2 เครื่องยนต์ เช่นเดียวกับการขาย ให้เช่า หรือหาประโยชน์จากทรัพย์สินรองอื่น โดยบริษัท มีการขายทรัพย์สินรองอื่น ได้แก่
1. เครื่องบินที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว จำนวน 8 ลำ ราคาขายรวม 19,515,000 ดอลลาร์
2. เครื่องยนต์อะไหล่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วจำนวน 1 เครื่อง ซึ่งขายให้แก่ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุดในราคา 1,825,000 ดอลลาร์
โดยบริษัท ได้ส่งมอบเครื่องยนต์ให้แก่ผู้ซื้อ และได้รับเงินค่าขายเครื่องยนต์ครบถ้วนแล้ว







