ไทย-อียู ประกาศเดินหน้าจัดทำเอฟทีเอ ไทย-อียู

ไทย-อียู ประกาศเดินหน้าจัดทำเอฟทีเอ ไทย-อียู

‘จุรินทร์’ นำคณะไทย ถก อียู ที่บรัสเซลส์ เผย ความสำเร็จ ไทย-อียู พร้อมนับหนึ่งเริ่มต้นกระบวนการจัดทำ เอฟทีเอ ไทย-อียู เตรียมชงครม.ไฟเขียว มั่นใจไทยได้แต้มต่อตลาดใหม่ 27 ประเทศ ด้านอียู พร้อมนำผลหารือไปขอคำรับรองจากสมาชิก 27 ประเทศ ตั้งเป้าให้เสร็จในไตรมาสแรกปีนี้

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยผลการหารือทวิภาคีกับนายวัลดิส โดมโบรฟสกิส (H.E. Mr. Valdis Dombrovskis) รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปด้านเศรษฐกิจและกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า หรือรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของสหภาพยุโรป ที่ Le Berlaymont กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ว่า ไทยและสหภาพยุโรปหรืออียูได้มีการเจรจาร่วมกันเพื่อจัดทำเอฟทีเอ (FTA)ระหว่างไทยกับอียู โดยได้ข้อสรุปตรงกันทั้ง 2 ฝ่ายในการแสดงเจตจำนงร่วมกันในการเริ่มต้นจัดทำ เอฟทีเอ ไทย-อียู ซึ่งได้มีการมอบหมายให้แต่ละฝ่ายดำเนินกระบวนการภายใน เพื่อนำไปสู่การจัดทำเอฟทีเอระหว่าง 2 ฝ่ายต่อไปโดยเร็ว

“ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายประชุมและแสดงเจตจำนงร่วมกัน ในส่วนของประเทศไทย จะนำเข้าหารือเดินหน้าเพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ภายใน 2 สัปดาห์จากนี้เพื่อครมให้.ความเห็นชอบในการจัดทำเอฟทีเอ ไทย-อียู ต่อไป ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการค้าของสหภาพยุโรป จะนำผลการหารือไปดำเนินการภายในของสหภาพยุโรปเพื่อขอคำรับรองจากสมาชิก 27 ประเทศต่อไป”นายจุรินทร์ กล่าว

ไทย-อียู ประกาศเดินหน้าจัดทำเอฟทีเอ ไทย-อียู

โดยได้ตั้งเป้าจะดำเนินการตามกระบวนการภายในให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อประกาศนับหนึ่งการเริ่มต้นเจรจา FTA ไทยกับสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการต่อไป โดยทั้ง 2 ฝ่ายตั้งเป้าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ที่ผ่านมาไทยพยายามเจรจากับอียูในการทำ FTA มาแล้วเกือบ 10 ปี แต่ยังไม่สามารถนับหนึ่งในลักษณะนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบันอียูมี FTA กับประเทศอาเซียน 2 ประเทศ คือ เวียดนามและสิงคโปร์ ถ้ากระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามเป้าหมาย ไทยจะเป็นประเทศที่ 3 และถ้าประสบความสำเร็จไทยจะมีตลาดการค้าที่ได้เปรียบคู่แข่งจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น 27 ประเทศ และจะเป็นแต้มต่อทางการค้าให้กับไทย รวมถึงเป็นการสร้างเงิน สร้างอนาคตให้กับประเทศต่อไป

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ถือว่าเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญ โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับอียู มีมูลค่า 41,038 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.87% สัดส่วนการค้าประมาณ 7% ของการค้ากับโลก และไทยส่งออกไปอียู มูลค่า 22,794 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.17% สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปอียู เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ รถยนต์และอุปกรณ์ แอร์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยางพารา อัญมณีและเครื่องประดับ และไก่แปรรูป เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากอียู เช่น เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และยา เป็นต้น