ตรุษจีนคึกคักเงินสะพัด 4.5 หมื่นล้านบาทสูงสุดในรอบ 3 ปี

ตรุษจีนคึกคักเงินสะพัด 4.5 หมื่นล้านบาทสูงสุดในรอบ 3 ปี

ม.หอการค้าไทยเผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายเทศกาลตรุษจีน พบบรรยากาศคึกคักเงินสะพัดสะพัด 4.5 หมื่นล้านบาทสูงสุดในรอบ 3 ปี แม้ราคาสินค้าแพงขึ้นแต่พร้อมจ่าย รับเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนทำท่องเที่ยว เศรษฐกิจในจังหวัดดีขึ้น

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2566  โดยสำรวจ 1,250 ตัวอย่าง พบว่า   45 % ระบุว่า จะมีการไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากมีคนในครอบครัวมีเชื้อสายจีน ขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนปีนี้กลุ่มตัวอย่าง 38.4  % มองว่า ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าแพงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นและได้รับโบนัสเพิ่มขึ้น รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทำให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น  ซึ่งการใช้จ่ายส่วนใหญ่จะใช้จ่ายในการซื้อของเซ่นไหว้แม้ว่าราคาของเซ่นไหว้ในช่วงตรุษจีนปีนี้แพงขึ้นมากแต่ยังคงซื้อสินค้าเท่าเดิมเพราะตรุษจีนมีปีละ 1 ครั้ง นอกนั้นก็จะ ไปทำบุญและแต๊ะเอีย

ส่วนการวางแผนไปเที่ยวในเทศกาลตรุษจีนส่วนใหญ่จะไม่ไปเนื่องจากได้ไปท่องเที่ยวแล้วในช่วงปีใหม่และ ยังกังวลโควิด 19 และเมื่อสอบถามถึงบรรยากาศในช่วงตรุษจีน  พบว่า  55.1 %เห็นว่า บรรยากาศคึกคักเท่าเดิม  ส่วน39.9 % เห็นว่า คึกคักมากกว่า  และเห็นว่าคึกคักน้อยว่า 4.4 %

“แม้ว่าของจะแพงแต่ก็มีการเตรียมเงินเพื่อใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจฟื้นขึ้นจริง แต่เป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบรูปตัว K –Shaped ซึ่งการฟื้นตัวเกิดขึ้นจากคนชั้นกลางขึ้นไป ที่พร้อมจะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ขณะที่ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง-น้อย ยังระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย แต่คนส่วนใหญ่ก็ตอบว่าตรุษจีนปีนี้คึกคัก โดยมีเงินสะพัด45,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปีนับแต่ปี 64  ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.6 %  และเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ปี “นายธนวรรธน์ กล่าว

 นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ส่วนความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนกังวลโควิดน้อยที่สุดในรอบ 4 ปี เพราะสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงไปมาก แต่ยังห่วงในเรื่องของการไปอยู่ในชุมชนขนาดใหญ่ แต่ถ้าอยู่กับญาติพี่น้องไม่กังวล ดังนั้น ถ้าสถานการณ์โควิดไม่บานปลายไปมากกว่านี้ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยในเชิงเศรษฐกิจ ขณะที่การเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ ส่วนใหญ่ยังคงกังวลกับการไม่มีมาตรการป้องและรองรับการแพร่ระบาดของโควิด -19 มากกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ อย่างไรก็ตามคงต้องต่อไปว่าการที่คนจีนเข้ามาจำนวนมาก จะมีผลต่อสถานการณ์โควิดหรือไม่ ซึ่งสถานการณ์จะเด่นชัดในช่วงก.พ.-มี.ค. 66  แต่สิ่งที่เป็นผลดีคือทำให้การท่องเที่ยว เศรษฐกิจ จ้างงาน ในจังหวัด ส่วนการเลือกตั้งที่ประชาชนต้องการเห็นคือการสร้างความเท่าเทียมกันของคนในสังคมและการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น

นอกจากนี้หอการค้าไทย ยังได้มีการสำรวจทัศนะของผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลตรุษจีน พบว่า  บรรยากาศตรุษจีนจะคึกคักมากกว่าเดิม-เท่าปีก่อน และเชื่อว่า ปีนี้ผู้บริโภคจะมีการซื้อของเพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจดีขึ้น จึงทำให้ผู้ประกอบการเตรียมของขายสำหรับปีนี้มากขึ้นด้วย เมื่อสอบถามเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พบว่า ผู้ประกอบการมองในเชิงดีกว่าผู้บริโภค เนื่องจากมีการรับรู้ก่อน โดยส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวที่ 3.01-3.50% 

ส่วนความกังวลจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน ผู้ประกอบการไม่ค่อยกังวล โดยกังวลมากสุดคือเรื่องการจราจรติดขัด รองลงมาคือเรื่องการไม่มีมาตรการป้องกัน  รองรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของภาครัฐ และการแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ ส่วนผลดีของการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน มองว่า การท่องเที่ยวและการจ้างงานดีขึ้นและหากเลือกตั้งในวันนี้ผู้ประกอบการต้องการให้แก้ปัญหาทุจริตในทุกระดับ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจในการสำรวจในช่วง ตรุษจีน คือ มีสัดส่วนการชำระสินค้าด้วยการโอนเงินมากขึ้น ผ่านระบบพร้อมเพย์ เนื่องจากคนติดพฤติกรรมการโอนเงินมาจากช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมไร้เงินสด (cashless) ขณะเดียวกัน ยังมีการซื้อสินค้าผ่านบริการ Delivery ผ่านแอปพลิเคชั่น มากขึ้นด้วย ถือเป็นการถ่ายโอนจาก Analog economy สู่ Digital Economy