เปิดเบื้องลึกค่าไฟกลุ่มอุตสาหกรรม ทำไมพุ่งแตะ 5.69 บาทต่อหน่วย

เปิดเบื้องลึกค่าไฟกลุ่มอุตสาหกรรม ทำไมพุ่งแตะ 5.69 บาทต่อหน่วย

จากการที่ “กกพ.” ได้ประกาศค่า Ft ตามมติ กพช. โดยให้สิทธิ์ประชาชนใช้ก๊าซในอ่าวไทยก่อน ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอาศัยอยู่มีอัตราค่าไฟ 4.72 บาทต่อหน่วย และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ มีอัตราค่าไฟ 5.69 บาทต่อหน่วย ในรอบบิลค่าไฟฟ้า ม.ค. - เม.ย. 66 

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าในช่วงวิกฤติราคาพลังงานเดือนม.ค. - เม.ย. 66 โดย ให้จัดสรรก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยหลังโรงแยกก๊าซฯ เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเป็นลำดับแรก ในปริมาณที่ไม่เพิ่มภาระอัตราค่าไฟฟ้าจากปัจจุบัน โดยมอบหมายให้ กกพ. ไปคำนวณอัตราค่าเอฟที (ค่าFt) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ตั้งแต่ใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม – เมษายน 2566

และให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริหารจัดการผลกระทบราคาก๊าซธรรมชาติต่อค่าไฟฟ้า โดยให้ ปตท. คิดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในระดับราคาเดียวกับที่ใช้ประมาณการค่าไฟฟ้าตามสูตรปรับอัตราค่า Ft ตั้งแต่เดือนที่ กพช. มีมติเป็นต้นไป และให้นำส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมที่เรียกเก็บดังกล่าวไปทยอยเรียกเก็บคืนในการคำนวณค่า Ft รอบถัดไป” และได้รับแจ้งมติดังกล่าวมายังสำนักงาน กกพ. เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2565 แล้วนั้น

ทั้งนี้ กกพ. จึงจำเป็นต้องปรับปรุงแนวทางการคำนวณค่า Ft ประจำเดือนม.ค.–เม.ย. 2566 ที่ได้รับฟังความเห็นไปแล้วให้สอดคล้องกับมติดังกล่าว โดยมีการปรับปรุง คือ

1. ให้ ปตท. ทบทวนการประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติใหม่อีกครั้งให้สอดคล้องกับมติ กพช. และแนวทางการบริหารเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของกระทรวงพลังงาน เช่น เพิ่มการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพื่อทดแทนการนำเข้า LNG, เพิ่มปริมาณก๊าซในอ่าวไทยในการผลิตไฟฟ้าโดยลดปริมาณก๊าซอ่าวไทยเข้าโรงแยกก๊าซ แล้วส่งมาผลิตไฟฟ้าเพื่อทดแทนการลดลงของก๊าซธรรมชาติในสหภาพพม่า, ปรับปรุงสมมุติฐานราคานำเข้า LNG Spot อ้างอิงตามแนวโน้มที่ดีขึ้น และเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 4 ที่ปลดแล้วตามความจำเป็น เป็นต้น

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ประมาณการราคา Pool Gas ลดลงจาก 552 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 493 บาทต่อล้านบีทียู  ต่อมาจึงคำนวณโดยแบ่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยหลังโรงแยกฯ เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าให้บ้านอยู่อาศัยก่อน ทำให้บ้านอยู่อาศัยสามารถใช้ก๊าซในราคา 238 บาทต่อล้านบีทียู และจัดสรรก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยส่วนที่เหลือรวมกับก๊าซจากสหภาพพม่าและ LNG สำหรับผู้ใช้ก๊าซรายอื่นๆ (Pool Gas ส่วนเหลือ) ในราคา 542 บาทต่อล้านบีทียู   

2. ให้ กฟผ. ปรับสมมุติฐานราคาเชื้อเพลิงตามแนวทางการบริหารเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของกระทรวงพลังงานและมติ กพช. โดยปรับการคำนวณ Ft ใหม่โดยใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยในราคา 238 บาทต่อล้านบีทียูแทนทดแทนราคาก๊าซธรรมชาติเดิมสำหรับการคิดค่า Ft ในกลุ่มบ้านอยู่อาศัยและใช้ราคาก๊าซธรรมชาติส่วนที่เหลือ (Pool Gas ส่วนเหลือ) ในราคา 542 บาทต่อล้านบีทียูทดแทนราคาก๊าซธรรมชาติเดิมสำหรับสำหรับการคิดค่า Ft ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ 

3. กกพ. พิจารณาภาระการเงินและภาระหนี้สินสะสมของ กฟผ. ให้มีการทยอยจ่ายคืนหนี้ Ft คงค้างเพื่อไม่ให้เป็นภาระปัญหาสภาพคล่องของ กฟผ. และไม่เกิดภาระต่อผู้ใช้ไฟฟ้ามากเกินไป โดย กฟผ. ขอเสนอให้เฉลี่ยยอดหนี้ ณ เดือนสิงหาคม 2565 จำนวน 122,257 ล้านบาท โดยเฉลี่ยการเรียกเก็บไปเป็นเวลา 2 ปี 

ดังนั้น ส่งผลให้ค่า Ft งวดเดือนม.ค.–เม.ย. 2566 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่อัตรา 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟอยู่ในระดับเท่าเดิมที่อัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นที่อัตรา 190.44 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วย

สมมุติฐานและการบริหารเชื้อเพลิที่ ปตท. และ กฟผ. ปรับปรุงตามแนวทางการบริหารเชื้อเพลิงของกระทรวงพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าในช่วงวิกฤติราคาพลังงานเดือนม.ค. - เม.ย. 2566 ตามมติ กพช. ดังนี้ 

เปิดเบื้องลึกค่าไฟกลุ่มอุตสาหกรรม ทำไมพุ่งแตะ 5.69 บาทต่อหน่วย

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เมื่อแก๊สในอ่าวไทยที่มีราคาต้นทุนถูกมีปริมาณไม่เพียงพอให้คนทั้งประเทศได้ใช้ กพช. ต้องการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ไฟบ้านก่อน จึงได้นำแหล่งพลังงานก้อนนี้มาให้กับประชาชนทั่วไปได้ใช้ก่อน ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟกลุ่มอุตสาหกรรมจะต้องจ่ายค่าไฟในต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการลดต้นทุน ประหยัดพลังงานจะช่วยให้กลุ่มธุรกิจอยู่รอดได้