รุ่งหรือร่วง : นโยบายจีนล้ำลึกหรือดื้อรั้น

รุ่งหรือร่วง : นโยบายจีนล้ำลึกหรือดื้อรั้น

สหรัฐประกาศลงทุนการผลิต semiconductor เพิ่มจากโครงการแรก 12,000 ล้านเดอลลาร์เป็น 40,000 ล้านดอลลาร์ บริษัท semiconductor ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก TSMC จากไต้หวัน

แถลงข่าวร่วมกับผู้นำรัฐบาลอเมริกัน และผู้นำAppleที่เป็นบริษัทมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก (2.27ล้านล้านดอลลาร์) ผลิตsemiconductors/chipsในสหรัฐเพื่อใช้ป้อนตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดsemiconductor ใหญ่ที่สุดในโลกที่ 46% ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 19% ญี่ปุ่น 9% ยุโรป 9% ไต้หวัน 8% และจีน 7% 

ขณะเดียวกันในจีน เกิดการประท้วงพร้อมกันในหลายชุมชน ทั้งที่อยู่อาศัยและโรงงานต่างๆ นักศึกษามหาวิทยาลัยยกกระดาษสีขาว (white paper protest) เรียกร้องให้ผู้นำลดความเข้มงวดของนโยบายโควิด แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐพยายามควบคุมและปิดข่าว แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดสัปดาห์นี้รัฐบาลจีนประกาศให้เริ่มผ่อนคลายบ้าง แม้การปรับเปลี่ยนจะไม่เห็นผลทันที แต่ก็นับว่าการยอมประนีประนอมครั้งนี้เป็นนิมิตหมายใหม่

นโยบายโควิดของจีนทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่กับอุตสาหกรรมสำคัญหลายอย่าง การผลิตสินค้าส่งออกซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจจีนระส่ำระสาย หลายบริษัทสู้ต่อไม่ไหวต้องปิดกิจการไป บริษัทที่มีทุนสูงก็จำเป็นต้องตัดค่าใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอด ลดจำนวนพนักงาน การผลิตและรายได้ลดลง 

โรงงาน Foxconn ผลิต iPhoneที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเมือง Zhengzhou มีพนักงานกว่า 300,000 คน เกิดวิกฤตถึงขั้นพนักงานซึ่งทนความกดดันของมาตรการเข้มงวดมากไม่ไหว ตัดสินใจต้องทิ้งงาน กลับภูมิลำเนา เจ้าหน้าที่ของรัฐในท้องถิ่นควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ วิดีโอถูกส่งแพร่หลายไปทั่วโลกโดยโซเชียลมีเดียซึ่งทางการยับยังไม่ได้ 

ความมั่นใจของผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์หุ้นลดลง iPhone 14 Pro ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยม ผลิต และส่งมอบไม่ตรงเวลา ยอดขายจะต่ำกว่าที่คาดไว้ 10% หรือ 6,000,000 เครื่อง โดยเฉพาะระยะนี้เป็นช่วงเทศกาล คนมักซื้อสินค้าเป็นของขวัญซึ่งกันและกัน ล่าสุดโรงงานแจ้งว่าจะส่งมอบได้ภายในวันที่ 28 ธ.ค. ซึ่งไม่ทันกับวันคริสต์มาส 

ความวิตกเรื่องนี้ทำให้มูลค่าบริษัท Apple หดหายไป ภายในสัปดาห์เดียวของปลายเดือนพ.ย. 165,000 ล้านดอลลาร์ เรื่องนี้ถึงแม้ว่าเป็นเพียงแค่สินค้าอย่างเดียว ของบริษัทเดียว แต่เป็นตัวอย่างที่สำคัญมากในการประเมินทิศทางของเศรษฐกิจจีน 

สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญของสินค้าจีน ได้พยายามลดการพึ่งพาการผลิตในจีนอยู่แล้วมาระยะหนึ่ง จนกลายเป็นสงครามเย็นทางเศรษฐกิจ และเมื่อนโยบายโควิดเข้มงวดของจีน กระทบต่อซัพพลายเชนของบริษัทสำคัญในอเมริกา หลายบริษัทเจอผลกระทบทำนองเดียวกันกับApple จึงทำให้ต้องรีบเร่งหาทางออก ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นบ้าง  แม้จะต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่แนวโน้มค่อนข้างชัดเจนว่าสหรัฐ และพันธมิตรทั้งหลาย ได้ตัดสินใจแล้วว่า ที่ผ่านมานั้นฝากความหวังเรื่องอุปทานไว้กับจีนมากเกินไป 

อินเดียกำลังเริ่มผลิต iPhone & iPad  โดยผลิต 5% ของ iPhone 14 ภายในสิ้นปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 25% ภายในปี 2025 

ประเทศพันธมิตรของสหรัฐทั้งหลายก็ออกมาแถลงในทำนองเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับจีนตกต่ำมากระยะนี้ นายกคนใหม่ของอังกฤษย้ำเตือนว่าความสัมพันธ์ของอังกฤษกับจีนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จะเพิ่มความระมัดระวังในการคบค้าสมาคมกับจีนเป็นต้น 

หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมนโยบายโควิดของจีนจึงแตกต่างจากประเทศอื่น มีอะไรล้ำลึกหรือมีปัจจัยอันใดคำตอบโดยตรงนั้นคงยาก เพราะการปกครองและการบริหารของจีนไม่เปิดเผย  แต่โดยสังเขปแล้ว น่าจะเป็นเรื่องความไม่เพียงพอของเตียงไอซียู ซึ่งมีอยู่จำกัดประมาณ 50,000 เตียง สำหรับประชาชน 1,400 ล้านคน เป็นอัตราส่วนของเตียงไอซีอยู่ต่อประชากรต่ำกว่าสหรัฐถึงสี่เท่า และการฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ คุณภาพของวัคซีนซึ่งผลิตในจีนยังไม่ได้มาตรฐานโลก และยังไม่อนุญาตนำเข้าวัคซีนคุณภาพสูงกว่าจากทางตะวันตก

การลดความเข้มงวดลงจะส่งผลให้การติดเชื้อโควิดในจีนเพิ่มขึ้นเป็นระยะหนึ่ง หากการรักษาพยาบาลขลุกขลักและบกพร่องเหมือนต้นปีค.ศ. 2020 ก็จะทำลายขวัญประชาชน คนงานป่วยหรือนโยบายล็อกดาวน์ในท้องถิ่นเปลี่ยนอีกครั้ง จะกระทบต่อการผลิตสินค้า มีปัญหาซ้ำเติมกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังย่ำแย่ 

จีดีพีจีนมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้า ไตรมาสแรกของปีค.ศ. 2023 อาจจะอยู่ที่ 3.5 ถึง 4% แทนที่จะเป็น 5% ตามที่คาดไว้ ในสามไตรมาสปีนี้ขึ้นเพียงแค่ 3% 

ผู้นำจีนสร้างความประทับใจระหว่างการมาเยือนกรุงเทพฯในงานเอเปก บรรยากาศคึกคักและความหวังตั้งไว้สูง เรื่องการค้าขายและลงทุนระหว่างจีนกับไทย แต่หลังจากที่กลับไปไม่นาน ข่าวที่สนใจกันมากในเมืองไทยก็คือเรื่องธุรกิจจีนสีเทา หลายคนกังวลว่าเรื่องนี้เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าเศรษฐกิจสำคัญ

โซเชียลมีเดียและรายงานข่าวในสื่อมวลชนไทย ออกมาทำนองเดียวกัน มีการแบ่งความคิดเป็นสองค่าย ฝ่ายแรกถือโอกาสเหมารวมกลัวจีน โหมกระแสระแวงต่อความมั่นคงแห่งชาติ อีกฝ่ายอยากเห็นเรื่องนี้จำกัดขอบเขต อยู่ที่กลุ่มบุคคลส่วนน้อยที่มีพฤติกรรมทางลบ ล่อแหลม ผิดกฎหมาย และไม่เหมารวมว่าชาวจีนส่วนใหญ่หรือรัฐบาลจีนคือภัยต่อไทย

การวางตัวเป็นมิตรกับทุกฝ่ายของไทยนั้นเป็นนโยบายที่เหมาะสมที่สุด ข่าวสารที่มาจากจีน หรือพฤติกรรมของชาวจีนบางกลุ่มในไทย เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาให้รอบคอบ จีนเป็นประเทศที่มีพื้นฐานมั่นคง สิ่งที่เราเห็น ทั้งบวกและลบ เศรษฐกิจจีนจะขึ้นหรือลง การเป็นพันธมิตรที่ดีสม่ำเสมอของไทยนั้น จะส่งผลตอบแทนระยะยาวครับ