'ธนินท์' ชี้ประเทศเติบโตได้ขึ้นกับการศึกษา แนะเลิกผลิตคนแบบไซโล

'ธนินท์' ชี้ประเทศเติบโตได้ขึ้นกับการศึกษา แนะเลิกผลิตคนแบบไซโล

'ธนินท์' เชื่อมั่นประเทศจะเติบโตรุ่งเรืองได้ ขึ้นกับการศึกษา FWE ร่วมเครือซีพี เปิดเวทีการประชุมด้านการศึกษาระดับโลก “Forum for World Education 2022”

1 ธันวาคม 2565 ณ สถาบันผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ประชุมสัมมนา “Forum for World Education 2022” ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจเปลี่ยน การศึกษาปรับ รับแนวโน้มอนาคต” (Shaping The Future of Education To Match Global Economic Trends) ขึ้น โดยสภาเพื่อการศึกษาระดับโลก หรือ Forum for World Education (FWE) ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ และโรงเรียนนานาชาติคองคอร์เดียน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 ธันวาคม 2565 ณ สถาบันผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยได้เชิญผู้นำด้านธุรกิจระดับโลก ที่ให้ความสำคัญด้านการพัฒนาคน และการศึกษาเข้าร่วมประชุมพร้อมกับผู้นำด้านการศึกษาจากประเทศต่างๆ กว่า 400 คน เพื่อระดมความเห็นในการออกแบบ รูปแบบการศึกษาให้ตอบโจทย์อนาคต และสอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจในทุกประเทศทั่วโลก โดยตั้งเป้าหมายสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการศึกษา เตรียมความพร้อมทรัพยากรมนุษย์ให้แข็งแกร่ง สร้างอนาคตเศรษฐกิจโลกยุค 5.0 ต่อไป

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า หัวข้อที่สำคัญของการประชุมในวันนี้คือการศึกษา และการสร้างคน ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองได้เท่าไรขึ้นอยู่กับการศึกษา ซึ่งการศึกษาก็คือ การพัฒนาคน องค์กรที่ยิ่งใหญ่ถ้าไม่สร้างผู้นำที่มีความรู้ในหลายๆ เรื่องก็จะไม่มีคำว่า CEO ในอดีตเรามักสร้างคนให้มีความรู้แบบไซโลเพราะกลัวการถูกซื้อตัวไป แต่ซีพีเราใช้คำพูดเก่าเอามาใช้กับยุคใหม่คือ เรากำลังสร้างเถ้าแก่ เพราะเถ้าแก่ต้องรู้ทุกเรื่องกำไร บัญชี ขาดทุน บุคคล ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ แล้วไม่กลัวว่าเขาจะออกจากเราไปที่อื่น เพราะถือว่าเราได้สร้างคนให้กับสังคม และประเทศชาติซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด 

 “ถ้าเราจะสร้างคนให้เป็นผู้นำ เราจะต้องสร้างผู้นำที่มีความกตัญญู รู้จักการให้ รู้จักเรียนรู้ รู้จักเสียเปรียบ เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะคนที่เห็นแก่ตัวจะไม่มีทางเป็นผู้นำที่ดีได้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ มี 6 ค่านิยมที่สำคัญคือ 3 ประโยชน์ นวัตกรรม เร็ว และมีคุณภาพ ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีความกตัญญู กตัญญูเป็นอันดับหนึ่ง จะเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นคนดี รู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน กตัญญูกับพ่อ แม่ รักครอบครัว รักองค์กรบริษัท รักพนักงาน เขาจึงจะเป็นผู้นำที่ดีได้”

นอกจากนี้ในการประชุม ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังกล่าวถึงระบบการศึกษา และธุรกิจในโลกยุคใหม่ว่า ระบบการศึกษาจะต้องปรับเปลี่ยน ต้องพยายามสร้างคนให้เร็วที่สุด  นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าการเรียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำด้วย  เพื่อให้เกิดปัญญา ปัญญาสำคัญไม่แพ้ใบปริญญา 

“วันนี้เรื่องใหม่ๆ เราต้องให้คนรุ่นใหม่ทำ ไม่ต้องกลัวทำผิด ผิดคือ ครูถือเป็นค่าเล่าเรียน ถ้าเรื่องธุรกิจเด็กสมัยนี้เขาฉลาดกว่ายุคของเรา ซึ่งในยุคก่อนต้องอายุมากกว่า 50 ถึงจะขึ้นเป็นผู้นำได้ แต่ยุคนี้ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องให้คนรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ระบบการศึกษาวันนี้เด็กอายุ 18 ปี ควรจะต้องจบมหาวิทยาลัยได้แล้ว เพราะเด็กในวัยนี้พวกเขามีพลังมหาศาล อย่าเอาพลังของเขาไปขังไว้ในโรงเรียน เราอยู่ในยุคของคนแก่ดังนั้นจึงต้องสร้างคนพัฒนาคนออกมาทำงานให้เร็วที่สุด วันนี้แค่เรียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำงานไปด้วย ปริญญากับปัญญาแตกต่างกัน ปัญญาเกิดจากการลงมือทำ อดทน ล้มเหลว เรียนรู้ แต่ปริญญาเป็นเรื่องของความจำ ดังนั้นปัญญาจึงมีความสำคัญ เริ่มทำให้เร็ว กล้าที่จะลองผิดลองถูก โดยมีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน เป็นสปอนเซอร์ ชี้แนะได้แต่ห้ามชี้นำ ตัวขององค์กรเองก็ต้องปรับตัว ลดขั้นตอน ลดขนาดไซโล และลำดับขั้น ยุคสมัยนี้องค์กรต้องแบนลง และในขั้นตอนต่างๆ ต้องใช้ Software เข้ามาติดตามให้รู้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทุกวัน ซึ่งยุคนี้เป็นยุคสมัยที่ต้องเร็ว และต้องมีคุณภาพ และต้องทำของยากให้เป็นของง่าย” นายธนินท์ เจียรวนนท์ ระบุ

ดร.ตัน ซี เล็ง (Dr.Tan See Leng) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้า และอุตสาหกรรม ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า การประชุม FWE ในวันนี้ เป็นการเตรียมพร้อมพัฒนากำลังคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์โลกที่ซับซ้อน และผันผวนมากขึ้น ประเทศสิงคโปร์ เน้นการพัฒนากำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย เน้นการพัฒนาค่านิยม และขีดความสามารถของศตวรรษที่ 21 ความคิดเชิงวิพากษ์ ความรู้เรื่องโลก ทักษะ และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ซึ่งในวันนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ตรงประเด็นอย่างมาก 

 “ปัญหา Covid-19 ทำให้เราเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งทำให้กำลังคนของเราสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ นี่คือ เหตุผลที่สิงคโปร์เดินหน้าลงทุนในเรื่องการศึกษาตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือคนที่ต้องถูกออกจากงานให้ได้มากที่สุด ด้วยการส่งเสริมให้พวกเขาไม่ย่อท้อ มีประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงมีองค์กร ด้วยการฝึกฝน เสริมทักษะ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปร่วมกันในอนาคต”

มร.แอนเดรียส ชไลเคอร์ (Mr.Andreas Schleicher) ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาและทักษะ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD กล่าวว่า จากการศึกษาระบบ และผลลัพธ์ของการศึกษาในหลายประเทศทั่วโลกพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า เมื่อมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ทั้งเด็ก และครูจะส่งผลต่อคุณภาพของการศึกษา โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทัศนคติของผู้เรียน ถ้าเด็กนักเรียนไม่กลัวที่จะผิดพลาด กล้าที่จะตัดสินใจ กล้าที่จะเสี่ยง ก็จะสร้างให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งถ้าระบบการศึกษาไม่เอื้อในการสร้างภาวะแวดล้อมเช่นนี้ให้เกิด จะไม่สามารถสร้างให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องอะไรได้เลย ดังนั้นทัศนคติในการเรียนรู้จึงมีความสำคัญต่อการสร้างอนาคตของคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก

 “เราต้องเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ ถ้าให้เขาได้เจอเส้นทางของเขา เพราะถ้าเราให้การศึกษาที่เป็นทั้งวิชาการ และวิชาชีพ เด็กแต่ละคนจะมีการตอบสนองต่อสิ่งที่ได้รับแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าเราเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสสำรวจ ค้นหาความเก่ง ความถนัดของตัวเอง พวกเขาก็จะสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างมีคุณภาพโดยที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน นอกจากนี้ครูยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้เด็กสามารถเกิดเรียนรู้ และทำให้มีระบบการศึกษาที่แข็งแรง แต่ปัญหา และความท้าทายคือ เรามีครูที่มีประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพอ ทำอย่างไรที่จะทำให้ครูสมัยใหม่เป็นครูที่เป็นมากกว่าครู เป็นผู้ให้คำแนะนำ เป็นผู้สนับสนุน เป็นผู้ส่งเสริมที่ดี ทำอย่างไรให้ได้คนเก่ง คนดี ได้มาเป็นครูในระบบให้มากขึ้น ทำอย่างไรที่แต่ละประเทศจะลงทุนในตัวครูให้ถูกด้าน ซึ่งเป็นโจทย์ที่สำคัญของการศึกษาในช่วงทศวรรษ 21”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์