ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเพิ่ม 67 เซนต์ ดีดตัวต่อเนื่องจากวานนี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเพิ่ม 67 เซนต์ ดีดตัวต่อเนื่องจากวานนี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปิดวันพฤหัสบดี(1ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวานนี้ โดยการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ของจีน เพิ่มมุมมองในแง่บวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน

นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ที่แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางของสหรัฐ(เฟด) แย้งว่าอาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้น้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนม.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ บวก  67 เซนต์ ปิดที่ 81.22 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 9 เซนต์ ปิดที่ 86.88 ดอลลาร์/บาร์เรล

ราคาน้ำมัน ได้แรงหนุนหลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 12.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 4.4 ล้านบาร์เรล

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันที่ 4 ธ.ค. ขณะที่แหล่งข่าว 5 รายระบุว่าโอเปกพลัสจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตในการประชุมครั้งนี้ ส่วนแหล่งข่าวอีก 2 รายคาดว่าโอเปกพลัสจะปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ โอเปกพลัสจัดการประชุมเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ซึ่งที่ประชุมมีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันสำหรับเดือนพ.ย.

นอกจากนี้ ตลาดจับตาการประชุมของสหภาพยุโรป (อียู) ในวันนี้เพื่อหาฉันทามติเกี่ยวกับการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย

แหล่งข่าวระบุว่า ที่ประชุมอียูหารือกันเกี่ยวกับการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียที่ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และให้มีการทบทวนมาตรการดังกล่าวทุก 2 เดือน โดยหวังว่าข้อเสนอดังกล่าวจะช่วยให้ที่ประชุมบรรลุฉันทามติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้สมาชิกอียูมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

ทั้งนี้ มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้รัสเซียมีรายได้ลดลงจากการจำหน่ายน้ำมันที่จะนำไปสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน แต่ก็จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลกจนทำให้เกิดภาวะขาดแคลน

กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือ G7 เสนอให้มีการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียในกรอบ 65-70 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่โปแลนด์ เอสโทเนีย และลิธัวเนีย ต่างก็มองว่ากรอบราคาดังกล่าวอยู่ในระดับสูงเกินไป โดยขณะนี้ราคาน้ำมัน Ural ของรัสเซียอยู่ในระดับต่ำกว่านี้ ซึ่งจะทำให้การกำหนดเพดานราคาในกรอบ 65-70 ดอลลาร์ไม่มีประสิทธิภาพ

โปแลนด์ต้องการกำหนดราคาที่ระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากรัสเซียมีต้นทุนการผลิตเพียง 20 ดอลลาร์/บาร์เรล และให้มีการนำประเด็นการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียพ่วงเข้ากับมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่

ส่วนไซปรัส กรีซ และมอลตามองว่ากรอบ 65-70 ดอลลาร์/บาร์เรลอยู่ในระดับต่ำเกินไป และต้องการให้มีการจ่ายเงินชดเชยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดังกล่าว รวมทั้งขอให้มีการกำหนดระยะเวลาผ่อนผันสำหรับการปรับตัวรองรับมาตรการดังกล่าว

G7 รวมทั้งอียูและออสเตรเลียมีกำหนดบังคับใช้เพดานราคาน้ำมันรัสเซียในวันที่ 5 ธ.ค. โดยจะมีผลบังคับใช้ต่อน้ำมันรัสเซียที่มีการขนส่งผ่านทางเรือบรรทุกน้ำมัน แต่ไม่รวมน้ำมันที่มีการขนส่งผ่านท่อส่งน้ำมัน

การกำหนดเพดานราคาน้ำมันดังกล่าวถือเป็นมาตรการลงโทษต่อการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งเมื่อมีการประกาศใช้จะทำให้บริษัทเดินเรือ บริษัทประกันวินาศภัย และบริษัทประกันภัยต่อ ไม่สามารถให้บริการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งคาร์โกน้ำมันรัสเซียที่มีราคาสูงกว่าเพดานที่ G7 และพันธมิตรกำหนดไว้

หากอียูไม่สามารถบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย ก็จะส่งผลให้อียูต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นด้วยการประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมดจากรัสเซียเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. และระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั้งหมดจากรัสเซียตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.2566 ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดน้ำมันโลก