หอการค้าไทย มั่นเศรษฐกิจปี 66 โตได้ 3.5-4 % แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

หอการค้าไทย มั่นเศรษฐกิจปี 66 โตได้ 3.5-4 % แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

“สนั่น อังอุบลกุล”เปิดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ มั่นเศรษฐกิจปี 66 โต 3.5-4 % ส่งออกขยายตัว 3-5% แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว คาดหลังเอเปคมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามา 6 แสนล้านบาท เดินหน้า BCG ดันSoft Power เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ตั้งเป้าขยายสมาชิกหอการค้าให้ได้ 3 แสนรายใน 3 ปี

หอการค้าไทย ร่วมกับหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี และเครือข่าย จัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ที่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี​ จังหวัดอุบลราชธานี​ ภายใต้หัวข้อ “Connect the dots :  Enhancing Thailand Competitiveness”  โดยผู้เข้าร่วมสัมมานาจากหอการค้าทั่วประเทศ กว่า 1,000 คน 

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทาย เราเรียก “วิกฤติ ซ้อนวิกฤติ” เศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความขัดแย้งของประเทศมหาอํานาจ ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและอาหาร ปัญหา Supply Chain ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น นโยบายของจีนเรื่อง zero covid เศรษฐกิจเติบโตได้เพียง 2-3% สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

ในส่วนของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์และที่สําคัญ ในช่วงต้นปี ปัญหาผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีน ได้สร้างความกังวลเป็นอย่างมาก หอการค้าฯ จึงได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ไปพบนายหวังอี้ มนตรีแห่งรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน เพื่อขอให้ผ่อนคลายและอํานวยความสะดวกให้ผลไม้ไทยเข้าสู่จีนได้ทําให้สถานการณ์คลี่คลาย และทําให้เราส่งออกได้เกินกว่าแสนล้านบาท

ด้านการท่องเที่ยว คาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ส่วนปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 20 ล้านคน ซึ่งหากจีนผ่อนคลายมาตรการ ZERO COVID กลางปีหน้า ก็จะเพิ่มได้อีก 5 ล้านคน ก็จะมีรายได้ 1.73 แสนล้านบาท 

หอการค้าไทย มั่นเศรษฐกิจปี 66 โตได้ 3.5-4 % แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

นายสนั่น กล่าวว่า  สําหรับการเป็นเจ้าภาพ APEC  ที่ผ่านมา ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจได้มาพบกัน เกิดปฏิญญา Bangkok Goals ที่นํา BCG gป็นวาระสําคัญของ Asia-Pacific พร้อมผลักดัน FTAAP ให้เกิดขึ้นจริง โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า ในช่วง APEC เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนทันทีกว่า 1 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจากนี้ไปจะมีเงินลงทุนมาจากต่างประเทศเข้าประเทศไทย รวม 6 แสนล้านบาท

โดยการลงทุนจากต่างชาติมาจาก 1.นักลงทุนจีน หลังจากที่หอการค้าฯ ร่วมกับสถานทูตจีน ศึกษาวิจัยโอกาสการลงทุนของ 2 ประเทศ ให้เพิ่มขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟจีน-ลาว เชื่อมต่อกับไทย ซึ่งจะลงไปถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีอีซี ซึ่งคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนประมาณ  1 แสนล้านบาท

2. ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและประเทศซาอุอาระเบีย ซึ่งมีความคืบหน้าในด้านต่างๆ เช่น เมืองใหม่ NEOM ที่เป็น MAGA Project ระดับโลก ภายใต้ชื่อ "เดอะไลน์" ที่มีความยาว 170 กิโลเมตรซึ่ง “กลุ่มสยามพิวรรธณ์” สนใจร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว หรือแม้แต่ PTT OR ก็ได้เปิด Café Amazon สาขาแรก ในเมืองริยาด และมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 150 สาขาภายใน 10 ปี ขณะที่ซาอุฯมีแผนการลงทุน  โดยเฉพาะด้านพลังงานที่จะให้ไทยเป็นอีกหนึ่งสถานที่เก็บน้ำมันดิบในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียตะวันออก คาดว่าจะมีการลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท

3.การลงทุนของเวียดนาม ล่าสุด ได้มีการลงนาม MOU ระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กับหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งเวียดนาม ผลักดันมูลค่าการค้าให้ถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในปี 2025

4. การลงทุนในพื้นที่อีอีซีที่ขณะนี้พื้นที่อีอีซีมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนตรงจากทั่วโลกได้อย่างทันที ดังนั้นคาดว่า เม็ดเงินลงทุน 6 แสนล้านบาทจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สําคัญต้องเร่งปรับปรุงกฎ ระเบียบ ที่เอื้อและอํานวยความสะดวกต่อการลงทุน

“แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเปราะบาง แต่เราเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ โดยหอการค้าไทย คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตได้ 3.5-4 % และภาคการส่งออกสามารถเติบโตได้3-5 % ภายใต้ความร่วมมือและการทํางานเชิงรุกของเราทุกคน เช่นเดียวกับคําที่ว่า “ดอกไม้จะผลิบานเดียวดายไม่ได้ หลายดอกรวมกันจึงจะงดงาม”นายสนั่น กล่าว

นายสนั่น กล่าวว่า  สำหรับปี 2566 หอการค้าไทยจะเน้นการยกระดับ Soft Power ทั้ง สมุนไพร อาหาร และวัฒนธรรมท้องถิ่น  ภายใต้ Happy Model และร่วมมือกับ กทม.จัดตั้งกรอ.พาณิชย์ โดยมี 3 เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำคือ 1.การปรับรูปแบบอนุญาตก่อสร้างให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ 2. การทบทวนราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และ 3. ผลักดัน กทม. ให้เป็น Smart City

นอกจากนี้ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยหรือ Thailand Competitiveness โดยปีที่ผ่านมา IMD สถาบันวิชาการของโลก จัดอันดับให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง จากอันดับที่ 28 มาเป็น 33 ดังนั้นคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร. จึงได้ผนึกกําลังกับ TMA สร้าง Pilot Projectเพื่อยกระดับ SME ไทย โดยได้จัดตั้ง สถาบัน Competitiveness ภายใต้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อขับเคลื่อนและติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการผลักดันBCG Model ให้เกิดขึ้นจริง ขณะเดียวกัน ในปีหน้า หอการค้าไทยตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ จาก 1 แสนราย เป็น 2 แสนรายให้ได้ ภายใน 3 ปี