เสียงเตือนจาก “แบงก์ชาติ” ตั้งการ์ดให้สูง ปีหน้าป่วนแน่

เสียงเตือนจาก “แบงก์ชาติ” ตั้งการ์ดให้สูง ปีหน้าป่วนแน่

ผู้ว่าการแบงก์ชาติเตือนทุกภาคส่วนเตรียมรับมือ ความผิดเพี้ยนของตลาด ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนมากคือกลุ่มเอสเอ็มอีหรือประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งคราวนี้เกิดขึ้นกับตลาดที่คาดว่าปลอดภัยที่สุด รวมถึงเกิดในสินค้าที่มั่นคงที่สุดอีกด้วย

ระยะหลังเราไม่ค่อยเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือ “แบงก์ชาติ” ออกมาเตือนอะไรบ่อยนัก จะมีก็เพียงบอกเล่าถึง ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจและความเสี่ยงต่างๆ ที่จะต้องเผชิญในระยะข้างหน้า ไม่ถึงขั้น “เตือน” ให้ทุกคนเฝ้าระวังอย่างจริงๆ จังๆ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “แบงก์ชาติ” โดยท่านผู้ว่าการฯ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมรับประทานอาหารกลางวัน วัตถุประสงค์หลักของการเชิญทานข้าวในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการจะส่งเสียง “เตือน” ให้สื่อมวลชนตระหนักและ “สื่อ” ออกไปให้สาธารณชนรับทราบถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่อาจต้องเผชิญในปีหน้า

ประเด็นหลักที่ท่านผู้ว่าการแบงก์ชาติต้องการเตือนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งการ์ดสูงเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจมาเยือน ซึ่งตัวท่านเองก็ยังไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหน แต่เชื่อว่ามาแน่นอน นั่นคือ ความผิดเพี้ยนของตลาด หรือ “Market Dysfunction” ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ ย้ำคำนี้อยู่หลายรอบในวงพูดคุยมื้อกลางวัน ท่านบอกว่า คนยังพูดถึงเรื่องนี้น้อยมาก แต่มีความสำคัญ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ต่างกับสุภาษิตที่ว่า “น้ำลดตอผุด” ซึ่งที่ผ่านมาทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ กดดอกเบี้ยไว้ระดับต่ำ เมื่อถึงจุดหนึ่งปัญหาต่างๆ ก็เริ่มโผล่ออกมาให้เห็น

ผู้ว่าการแบงก์ชาติ บอกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นหากไปเกิดในจุดที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ก็อาจไม่ได้เซอร์ไพร์ซอะไรมาก แต่ระยะหลังปัญหาต่างๆ มักไประเบิดในจุดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เช่นทุกครั้งเมื่อมีปัญหา เราก็พอจะรู้ว่าปัญหาจะตกอยู่ที่กลุ่มเอสเอ็มอีหรือประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ แต่ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ปัญหารอบนี้ดันไปเกิดกับประเทศที่เซฟที่สุด เกิดกับตลาดที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด และยังเกิดในสินค้าที่มั่นคงที่สุด ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ อังกฤษ เป็นประเทศที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหา ที่สำคัญยังไปเกิดกับตัวพันธบัตรรัฐบาล ไปเกิดในกลุ่ม pension fund สะท้อนว่า สถานการณ์เวลานี้ปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นในจุดไหนก็ได้ ความเสี่ยงจึงมีสูงมากกว่าปกติ

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือ อาการของ Market Dysfunction ซึ่ง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ย้ำเตือนว่า ปีหน้ากับระเบิดลักษณะนี้ยังมีอยู่เยอะ ที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง จึงอยากเตือนให้ทำใจเตรียมรับมือกับข่าวไม่ดี ซึ่งอาจจะทำให้ หุ้นตก ต่างชาติขนเงินกลับ ค่าเงินอ่อนลง แต่อย่างไรก็ตามในมุมพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังพอจะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวย้ำว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจจะโตไม่ถึง 3.8% ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่อย่างน้อยจะไม่เลวร้ายถึงขั้นโตต่ำกว่า 3% หรือพูดง่ายๆ คือ เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังคง Takeoff อยู่ เพียงแต่จะไม่ Smooth เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ให้ความเป็นห่วง อันแรกคือ ปัญหา Geopolitics หรือความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาวอย่างแน่นอน ส่วนอีกอัน คือ การดำเนินนโยบายแปลกๆ ของภาครัฐ ซึ่งช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆ เริ่มหาเสียง และก็เริ่มเห็นการเสนอนโยบายที่อาจบ่อนทำลายเศรษฐกิจระยะยาว เช่น การพักหนี้ต่างๆ โดยผู้ว่าการแบงก์ชาติ ย้ำเตือนว่า อยากให้ดูบทเรียนในต่างประเทศเป็นตัวอย่าง เช่น ในอังกฤษชัดเจนมาก เพราะเห็นได้ชัดว่า “ตลาดจะ Punish stupid policy” นี่คือโค๊ตสำคัญของผู้ว่าการแบงก์ชาติที่อยากสื่อให้สาธารณชนรับทราบ!