ยอดขายที่ดินนิคมฯพุ่ง รับแรงหนุนเศรษฐกิจโลกฟื้น

ทิศทางการลงทุนเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะหลังจากมีการเปิดประเทศส่งผลให้นักธุรกิจเดินทางเข้ามาเจรจาได้สะดวกขึ้น และมีผลต่อยอดขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรม
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในปี2566 มองว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากกระแสการย้ายฐานทุนที่ยังเกิดขึ้น เนื่องจากความผันผวนของโลก ทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ศาสตร์และมาตรการซีโร่โควิดที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนการผลิต ทำให้นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจในภูมิภาคนี้มากขึ้นรวมถึงไทยเอง
“โดยลูกค้าในนิคมฯ ดับบลิวเอชเอส่วนใหญ่ตัดสินใจเร่งโอนที่ดินและสร้างโรงงานทันที โดยจะไม่ได้เป็นการซื้อที่ดินเพื่อเก็บ จึงคาดว่าจะเห็นเงินลงทุนจริงในปีหน้า ที่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมอีวี อิเล็กทรอนิกส์ และคอนซูมเมอร์”
นอกจากนี้ การที่ไทยมีความชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และส่งเสริมการลงทุนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุนในคลัสเตอร์อีวีมาไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มจะชะลอตัวในปีหน้าโดยกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงบ้าง แต่เชื่อว่าผลกระทบจะเกิดเฉพาะบางเซคเตอร์ รวมทั้งเศรษฐกิจไทยยังอยู่ช่วงการฟื้นตัวจากโควิดจะค่อยๆ โตกลับมาอยู่จุดเดิม ทั้งจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาในปีนี้ และคาดว่าเมื่อจีนคลายมาตรการโควิดในปีหน้าจะเป็นผลดีกับการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิเอชเอในปี 2565 ทะลุเป้า 1,650 ไร่ไปแล้ว หลังจากมีการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นหลังจากมีการเปิดประเทศ ซึ่งทำให้มีนักธุรกิจต่างชาติที่ไม่ใช่สัญชาติจีนเข้ามาซื้อที่ดินจำนวนมาก
วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2565 (ก.ย.2564-ต.ค.2565) กนอ.มียอดขายและเช่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 2,016.24 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 65.1% ซึ่งเป็นไปตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ กนอ.ปรับเป้ายอดขายและเช่าที่ดินในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา ภายหลังการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งส่งผลให้มีนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้ามาชมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันยังเป็นผลจากความเชื่อมั่นในโครงการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งทั้ง 4 โครงการมีความก้าวหน้าการก่อสร้างและส่งมอบพื้นที่โครงการต่อเนื่องชัดเจน ประกอบด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการลินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3
นอกจากนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนตัดสินใจจองหรือซื้อหรือเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน และนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง
สำหรับยอดการขายและเช่านิคมอุตสาหกรรมในอีอีซี มีจำนวน 1,716.99 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซีจำนวน 299.25 ไร่ มีการแจ้งเริ่มประกอบกิจการ และใบขออนุญาตส่วนขยาย 407 ราย เกิดการจ้างงาน 39,643 คน มูลค่าการลงทุนรวม 137,677 ล้านบาท
“การลงทุนจากต่างชาติเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอีอีซี เป็นผลจากโครงการ LTR Visa ที่เปิดใช้ตั้งแต่ 1 ก.ย.2565 ดึงนักลงทุนต่างชาติมีศักยภาพสูงด้านทักษะและความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีสมัยใหม่และผู้มีความมั่งคั่งมาลงทุน"
รวมทั้ง กนอ.คาดการณ์ว่าปี 2565 จะมีเม็ดเงินลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากยอดขายหรือเช่าที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 65.1% ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากหลายปัจจัยแล้วทำให้ในปี 2566 กนอ.ตั้งเป้ายอดขายหรือเช่าพื้นที่ไว้ที่ 2,500 ไร่
สำหรับการคาดการณ์ดังกล่าวได้ประเมินปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและปัจจัยบวกจากทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ การแพร่ระบาดของโควิด-19 การเกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย และล่าสุดการปฏิรูปการเมืองในจีนทำให้หลายอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่จัดระบบการผลิตครั้งใหญ่ ซึ่งไทยได้เปรียบหลายส่วน ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกหลายบริษัทสนใจมาลงทุนในไทย
ในขณะที่มูลค่าการลงทุนสะสมอยู่ที่ 5.59 ล้านล้านบาท มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม 4,864 โรง และมีการจ้างงาน 926,262 คน
กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่มีการลงทุนสูงสุด ได้แก่ 1.กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม 22.6%
2.อุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง 11.06% 3.อุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ9.33%
4.อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 8.85 % และ 5.อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ 8.36 %
ทั้งนี้ นักลงทุนจากญี่ปุ่นครองแชมป์สนใจลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งถึง 31.25% รองลงมา คือนักลงทุนจากจีน 18.75% ตามมาด้วยนักลงทุนจากสหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์อินเดีย และมาเลเซีย
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 67 แห่ง และท่าเรืออุตสาหกรรม 1 แห่งใน 16 จังหวัด เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง 15 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน 52 แห่ง







