“บาฟส์” มั่นใจธุรกิจการบินฟื้น แม้ราคาพลังงานสิ้นปีนี้ยังคงผันผวน

“บาฟส์” มั่นใจธุรกิจการบินฟื้น แม้ราคาพลังงานสิ้นปีนี้ยังคงผันผวน

“บาฟส์” มองราคาพลังงานสิ้นปียังผันผวน แม้ปีหน้าเศรษฐกิจถดถอย ย้ำมอนิเตอร์ราคาน้ำมันช่วยสร้างความสมดุลลดภาระลูกค้า ชี้แม้พิษโควิด-19 ทำธุรกิจน้ำมันปี 64 ขาดทุน มั่นใจปี 65 ดึงกำไรกลับมาได้จากปัจจัยอุตสาหกรรมการบินฟื้น

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บาฟส์ (BAFS) กล่าวว่า ทิศทางราคาพลังงานช่วงนี้ยังคงผันผวนแต่จะเป็นระยะสั้น โดยเฉพาะยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้น้ำมันอยู่ในระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนปีหน้าคาดว่าจะลดลงและทรงตัว จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวทั้ง ยุโรป และอเมริกา อาจส่งผลถึงการใช้น้ำมันน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นช่วงท้าทาย เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงเร็วไม่เหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งลูกค้าบาฟส์จะต้องปรับตัวให้เร็ว โดยหน้าที่บาฟส์จะคอยช่วยดูแลสต็อกน้ำมันของลูกค้าให้เพียงพอต่อการขาย จึงต้องมอนิเตอร์เพื่อให้น้ำมันไม่เยอะและน้อยเกินไป เพื่อลดภาระกับลูกค้า และบริหารจัดการความสมดุลการใช้น้ำมัน

ทั้งนี้ หากมองภาพใหญ่โลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานแต่จะใช้เวลาอีกในระยะ แม้หลายฝ่ายมองว่าพลังงานหมุนเวียนเข้ามาแทนที่ แต่อุตสาหกรรมการบินจะไม่เร็วแน่นอน เพราะต้องอยู่ในรูปแบบของเหลว จากการถูกออกแบบมาเพื่อเครื่องยนต์เจ็ตเทอร์โบ ซึ่งถูกที่สุดยังมาจากฟอสซิล จากการกลั่นน้ำมัน

นอกจากนี้ ค่ายตะวันออกกลาง จะมีผลประโยชน์จากน้ำมันไฮโดรคาร์บอนฟอสซิล ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้มากสุด การบริหารราคาให้อยู่ในระดับสูงยังมีความจำเป็น เพื่อดึงดูดการลงทุนกลุ่มโรงกลั่น จากการสำรวจ และลงทุนในท่อขนส่งน้ำมัน ซึ่งราคาน้ำมันต่ำเกินจริงการลงทุนก็จะไม่เกิด

“ก่อนเกิดโควิด-19 บาฟส์ลงทุนท่อขนส่งน้ำมันกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งดีเซล เบนซิน อากาศยาน ที่ส่งไปทุกภาคเหนือระยะทาง 567 กิโลเมตร ถือว่ายาวที่สุดในอาเซียน ตอนนั้นทุกคนถามว่าจะลงทุนไปทำไมเมื่อน้ำมันน่าจะจุดสูงสุดแล้ว และจะมาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และถ้าไม่ลงทุนวันนั้น วันนี้เราลำบากแน่ เราทยอยเปิด COD ครบทั้งหมดตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่วยระบบขนส่งน้ำมัน ลดจำนวนรถบรรทุกขนน้ำมัน ประหยัดทั้งน้ำมันและค่าขนส่ง”  

ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัว แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการพึ่งพาการส่งออก และการท่องเที่ยว แต่ด้วยการที่เคยเกิดวิกฤติที่เคยรับนักท่องเที่ยวปีละกว่า 40 ล้านคน พอปี 2564 เหลือ 4 แสนคน และปีนี้เริ่มฟื้นตัวอยู่ระดับ 8-9 ล้านคน คาดว่าปี 2566 น่าจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น ต่อให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

อย่างไนก็ตาม ก่อนโควิด-19 บาฟส์มียอดน้ำมันปีละกว่า 6,000 ล้านลิตร ปีนี้น่าจะใกล้ๆ 3,000 ล้านลิตร ปี 2566 เชื่อว่าจะจบที่ 4,200 ล้านลิตร ถือว่าอยู่ระดับ 70% ก่อนที่จะเกิดโควิด-19 มั่นใจว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินยังคงในทิศทางบวก บาฟส์อาจจะโชคดีกว่าสายการบิน คือไม่ได้พึ่งพาตัวเลขนักท่องเที่ยว และเทรนด์ที่เห็นชัดในช่วงโควิดคือการเติบโตของคาร์โก้เกือบ 100% สายการบินได้ปรับตัวเอาเก้าอี้ออกมาขนของแทน ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าบาฟส์ได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว แม้ปัจจัยเสี่ยงปีหน้ายังมีอยู่ก็ตาม

“แม้ปีหน้าเศรษฐกิจจะถดถอย แต่ไม่น่ากินระยะเวลานาน ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่านั้น เรามีรายได้เป็นเงินบาท 90% บางสัญญาที่ทำสกุลดอลลาร์ ก็จะผันผวนมาก แต่ก็มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่เราไม่อยากให้มีกำไรจากตรงนี้ เพราะลูกค้าบริหารความผันผวนลำบาก เราอยากให้เงินบาทมีความเสถียรภาพ แม้มุมมองการท่องเที่ยวจะชื่นชอบเพราะช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ในช่วงนี้ก็ตาม”

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าวว่า จากปัญหาโควิดทำให้ปี 2564 บาฟส์ขาดทุนติดลบ 785 ล้านบาท คิดเป็น -51.1%  แต่ปีนี้เชื่อมั่นว่าจะมีทิศทางที่เป็นบวก โดยปริมาณน้ำมันจุดคุ้มทุนเฉลี่ยวันละ 8.3 ล้านลิตร ซึ่งขณะนี้เฉลี่ยวันละกว่า 9 ล้านลิตร