‘ล็อกดาวน์เจิ้งโจว’ซ้ำเติมผลกระทบเศรษฐกิจจีน

‘ล็อกดาวน์เจิ้งโจว’ซ้ำเติมผลกระทบเศรษฐกิจจีน

เทศบาลเมืองเจิ้งโจว ประเทศจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตไอโฟนของบริษัทแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ ได้สั่งล็อกดาวน์หนึ่งในเขตที่มีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19

เทศบาลเมืองเจิ้งโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตไอโฟนของบริษัทแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ สั่งล็อกดาวน์หนึ่งในเขตที่มีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ซึ่งมาตรการเข้มงวดต่าง ๆ ที่ทยอยประกาศใช้ทั่วจีนกำลังซ้ำเติมผลกระทบที่ทำให้กิจการของบริษัทเอกชนต้องหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากเมืองต่าง ๆ ของจีนต้องดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ตามแนวทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

เทศบาลเมืองเจิ้งโจวได้สั่งให้ประชาชนผู้อยู่อาศัยในเขตจงหยวนเกือบ 1 ล้านคนกักตัวอยู่บ้านตั้งแต่วันจันทร์(17 ต.ค.) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจเชื้อโควิด-19 รวมถึงให้ระงับการดำเนินกิจการที่ไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจากบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตมือถือไอโฟนเปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า โรงงานของบริษัทไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตที่มีการสั่งล็อกดาวน์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ จีนยังคงยึดนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งนำไปสู่การล็อกดาวน์และการปูพรมตรวจเชื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อยับยั้งการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 แม้จะแลกมาด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรง

นโยบายดังกล่าวฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก เนื่องจากจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตสินค้าที่สำคัญตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงโทรศัพท์นั้น ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักจากการปิดโรงงาน

นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่ชาวจีนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วงที่การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิสต์จีน เริ่มเปิดฉากเมื่อวันอาทิตย์ (16ต.ค.)ทำให้ทางการปักกิ่งต้องใช้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยการประชุมนี้อย่างเข้มงวดที่สุด แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อมีมือดีนำป้ายที่มีข้อความวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ ไปแขวนไว้บนสะพาน ทำให้ตำรวจเร่งตามล่าหาตัวคนแขวนซึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใคร
 

จุดที่เกิดเหตุมีคนนำป้ายขนาดใหญ่สองป้ายมีข้อความประท้วงนโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ ของจีนไปแขวนไว้ คือสะพานไซตงที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง พร้อมข้อความที่เขียนว่า “ไม่เอาโควิดเทสต์, ไม่เอาข้อห้าม, เราต้องการอิสรภาพ,ไม่เอาคำโกหก, เราต้องการศักดิ์ศรี, ไม่เอาปฏิวัติวัฒนธรรม เราต้องการการปฏิรูป ไม่เอาผู้นำ, เราต้องการลงคะแนนเสียง, เราต้องไม่เป็นทาสก่อนจึงจะเป็นประชาชนได้”

ส่วนป้ายอีกอันหนึ่งมีข้อความเชิญชวน บอกให้ทุกคนออกมาชุมนุมประท้วงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เช่น “หยุดไปโรงเรียนและหยุดไปทำงาน ล้มล้างเผด็จการ และคนทรยศ สี จิ้นผิง”

ด้านตำรวจกรุงปักกิ่งทำงานกันเร็วมาก รายงานบอกว่า แค่แป๊บเดียวตำรวจก็ไปอยู่ในจุดเกิดเหตุและเก็บป้ายลงมาจากสะพานอย่างรวดเร็ว ส่วนใครที่ถ่ายรูปแล้วไปโพสต์ตามโซเชียลมีเดีย เจ้าหน้าที่ก็ตามลบจนหมดเกลี้ยง

ส่วนใครเป็นผู้นำป้ายไปแขวนไว้บนสะพานและแขวนไว้ตอนไหน ตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งตำรวจก็ได้หาหลักฐานและเก็บข้อมูลจากคนที่อาศัยหรือเดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนั้น ซึ่งนักข่าวของเอพี ที่อยู่ในกรุงปักกิ่งที่ไปทำข่าวตรงนั้น ก็ถูกตำรวจสอบปากคำถึงสามครั้ง

ตำรวจปักกิ่งคุมเข้มความปลอดภัยทั่วกรุงปักกิ่ง โดยเฉพาะรอบ ๆ สถานที่จัดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีการปิดถนน ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนคนที่อยู่บริเวณนั้น ห้ามคนภายนอกเข้ามาใกล้ ๆ เนื่องจากที่ผ่านมาจะมีบุคคลภายนอกที่จะพยายามชูป้ายประท้วงพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยจะหาจุดที่มีคนเยอะ ๆ มีนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวต่างชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่เผลอก็จะชูป้ายประท้วงพร้อม ๆ กัน เพื่อจะให้เป็นข่าวไปทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการจีนพยายามป้องกันจะไม่ให้เกิดขึ้น

บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า จีนจะพลาดเป้าหมายของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2565 อย่างมากในปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มตั้งเป้าหมายดังกล่าวในช่วงต้นทศวรรษ 2533 โดยจีนได้มองข้ามความสำคัญของเป้าหมายในปีนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับการลดความสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในมติประวัติศาสตร์ของปีที่แล้ว ซึ่งระบุว่า จีดีพีไม่ใช่หลักเกณฑ์เดียวของความสำเร็จ

ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ตอกย้ำหลายครั้งถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายบริหารประเทศที่แตกต่างจากในอดีต โดยจะยกระดับสถานะความมั่นคงของชาติ แม้จะสูญเสียการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ตาม

บรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า หัวหน้าพรรคทุกคนนับตั้งแต่นายเจียง เจ๋อหมิน อดีตประธานาธิบดีจีนในปี 2545 ได้ใช้การกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่ซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปีเพื่อยืนยันว่า การพัฒนาเศรษฐกิจเป็น “ความสำคัญสูงสุด” ของพรรค แต่ประธานาธิบดีสี มีแนวโน้มที่จะยกเลิกวลีดังกล่าวเพื่อสนับสนุนสโลแกนที่เรียกร้องให้ “สร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาและความมั่นคง”