ลุ้นจีน ‘คลายล็อก’ โควิด ดันเศรษฐกิจฟื้นตัว

แนวนโยบายภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี 5 ปี สมัยที่ 3 หลังการกระชับอำนาจได้ ยังน่าจะดำเนินนโยบายตามเดิมที่เคยทำมาก่อนหน้านี้โดยย้ำชัดเน้นการกระจายอำนาจ ให้เติบโตแบบมั่งคั่งไปด้วยกัน

นายอมรเทพ จาวะลาผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า แนวนโยบายภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี 5 ปี สมัยที่ 3 หลังการกระชับอำนาจได้ ยังน่าจะดำเนินนโยบายตามเดิมที่เคยทำมาก่อนหน้านี้โดยย้ำชัดเน้นการกระจายอำนาจ ให้เติบโตแบบมั่งคั่งไปด้วยกัน
โดยมุ่งลดอำนาจการผูกขาดของธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยการใช้กฎระเบียบเข้มงวดขึ้น แต่หลังจากนี้คงไม่เข้มงวดเหมือนที่ผ่านมาอาจทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตช้าลงบ้าง แต่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก น่าจะได้ประโยชน์มากขึ้น


ขณะเดียวกันระยะถัดไปจีน อาจเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์โควิดเป็นศูนย์ ส่งเสริมให้มีการเปิดประเทศมากขึ้นทำให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น มองว่าเศรษฐกิจจีนหลังจากนี้ ไม่ได้แย่ลง แต่ยังไม่ถึงกลับโดดเด่น ปีนี้เติบโต 3% และเติบโต 4% ในปีหน้า 
ในมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย แม้ว่าก่อนหน้านี้ไทยจะได้รับผลเสียเต็มๆ จากมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีน ที่ไม่เปิดการท่องเที่ยวก็ตาม แต่ในระยะถัดไป เมื่อจีนผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวทำให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น มองว่า น่าเป็นโอกาสของการท่องที่ยวไทยในปีหน้าเช่นกัน และเมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัว เชื่อว่าจะมีมาตรการด้านการคลังมาสนับสนุน

นายอมรเทพ กล่าวว่า จีนยังมีโจทย์เพิ่มเติมต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจช่วงที่เหลือปีนี้ถึงปีหน้าทั้งจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน โดยมีความเสี่ยงสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี ยังดำเนินต่อไป และต้องติดตามผลว่าจะออกมาเป็นอย่างไร รวมถึงความเสี่ยงหลักที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งการที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ไม่ได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีนเช่นกัน เพราะจีนเน้นการส่งออก เช่นเดียวกับไทย ซึ่งทำให้การส่งออกไทย มีความเสี่ยงจะติดลบอยู่แล้ว 

สำหรับภาคการส่งออกไทยนายอมรเทพ มองว่า คงต้องเตรียมรับมือ ไม่เพียงแต่มองหาโอกาสขยายตลาดใหม่เท่านั้นสิ่งสำคัญกว่าคือควรเร่งการเจรจา FTA ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ในตลาดเดิมที่ยู่แล้ว เช่น สหรัฐ ยุโรป อังกฤษ เช่นเดียวกับเวียดนาม 

“การขยายตลาดส่งออกไทย ยังสามารถทำให้เชืงลึกขึ้นกับตลาดเดิมที่มีอยู่แล้วดึงดูดให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น จุดนี้น่าจะช่วยพิ่มโอกาสและเพิ่มส่วนแบ่งการค้าขายกับไทยมากขึ้น”

ทางด้านคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นจีน นายอมรเทพ กล่าวว่าการกระชับอำนาจเป็นสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง เป็นจุดสำคัญและเชื่อว่าจะมีผ่อนคลายล็อดาวน์ กลับมาเปิดประเทศ , กฎระเบียบที่ไม่เข้มงวดขึ้นกว่าในอดีต และเมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัว น่าจะเห็นการกระตุ้นผ่านมาตรการด้านการเงินและการคลัง ที่ผ่านมามาตรการเงินทำไปแล้ว ทั้งลดดอกเบี้ย ผ่อนคลายเรื่องสภาพคล่อง ไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย หลังจากนี้ น่าจะเห็นมาตรการคลังเข้ามากระตุ้น
ทั้ง 3 ปัจจัยน่าจะเป็นตัวกระตุ้นด้านการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีของจีนด้วย ทำให้กลุ่มหุ้นการบริโภคและหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งระดับราคาปัจจุบันที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก กลับมามีความน่าสนใจ
ทางด้านความเสี่ยงยังต้องระวัง
 “เงินหยวนอ่อนค่า”เป็นความเสี่ยงที่เตือนนักลงทุนมาตลอด จากความกังวลส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐกับจีนที่กว้างขึ้น , ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังดำเนินต่อไป รวมถึงการเลือกตั้งมิดเทอมสหรัฐ เป็นโอกาสที่จะถูกหยิบฉวยเรื่องการเมืองมาเล่นงานจีนได้เป็นอีกประเด็นที่ทำให้ตลาดการลงทุนและเศรษฐกิจจีน อาจโดนผลกระทบได้
ขณะเดียวกันความเสี่ยงฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้บริษัทภาคเอกชนของจีนมองว่า เป็นธรรมชาติทางธุรกิจและจีนผ่านผล กระทบดังกล่าวมาหลายรอบแล้ว ทำให้มองว่า น่าจะเป็นปัญหาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่จีนผ่านผลกระทบมาหลายรอบ มองว่า น่าเป็นปัญาเพียงชั่วคราว 

“แนะนำว่านักลงทุนมีความกังวลการลงทุนในสหรัฐและยุโรป เร่งการขึ้นดอกเบี้ยและการดูดสภาพคล่องในฝั่งตะวันตก มองว่า ตลาดเอเซีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน ที่ยังไม่มีการเร่งขึ้นดอกเบี้ย เสริมสภาพคล่องในประเทศและการเติบโตต่อในปีหน้าได้ แม้ตลาดปรับตัวมาก แต่หากมีโอกาสทยอยเข้าสะสมได้ เพื่อหวังการฟื้นตัวที่ชัดเจนในระยะกลางและยาว

+++++

บล. เกียรตินาคินภัทร จับตา 5 นโยบายสี จิ้นผิง ดันศก.จีนโต 

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่านโยบายของสีจิ้นผิง สมัยที่ 3 ยังมี 5 ประเด็นที่ตลาดยังรอความชัดเจน สำหรับประเด็นระยะสั้นที่สำคัญ คือ มาตรการซีโร่โควิดจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ตอนนี้ตลาดคาดการณ์ว่า น่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว เพื่อกลับมาเปิดเมืองและเปิดประเทศในที่สุด แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอน จากปัญหาคนจีนยังฉีดวัคซีนไม่ครบ หากผ่อนคลายอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

ประเด็นถัดมา คือ การกลับมาให้บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจจีนเพิ่มมากขึ้น โดยคนรวยต้องคืนให้กับสังคมและพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น

ตอนนี้ ตลาดมีการตั้งคำถามว่า จะเป็นความเสี่ยงต่อแรงจูงในระยะยาว เศรษฐกิจจีนจะเติบโตต่อได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนถูกขับเคลื่อนจากการลงทุนภาคเอกชน
และอีกประเด็นคือ การประกาศรวมจีนเป็นหนึ่งเดียว เรื่องจีนกับไต้หวัน เป็นนโยบายที่สำคัญ ตอนนี้ตลาดคาดการณ์ว่า หากเกิดขึ้นจริง ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์จะกลับมามีความตึงเครียดค่อนข้างมาก เพราะในเรื่องนี้สหรัฐคงไม่ยอมเช่นกัน

ส่วนประเด็นสุดท้าย จีนคงต้องเตรียมพร้อม เป็นประเทศมหาอำนาจ จีดีพีใกล้ถึงระดับเดียวกับสหรัฐ ต้องไปเสริมการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี และด้านอื่นๆ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ตลาดติดตามต่อไปคือ ใครจะมาเป็นประธานาธิบดีคนถัดไปต่อจาก สีจิ้นผิง หลังจากนี้อีก 5 ปีด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวเ่ช่นกัน
หวังจีนเปิดเมือง ลุ้นศก.ฟื้นชัดก่อน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในระยะข้างหน้า จับตาการดำเนินนโยบายมาตรการซีโร่โควิดของจีนจะเป็นอย่างไร หากทางการจีนยังเปิดไม่เต็มที่หรือยังเปิดๆปิดๆ ก็เป็นความเสี่ยงอยู่ คงต้องรอจุดที่มีความชัดเจนหากทางการจีน นำวัคซีนที่ได้ผลมาฉีดอย่างทั่วถึง 
ประกอบกับขณะนี้เศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงชะลอตัว หลังจากผ่านจุดดีที่สุดไปแล้ว โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจมาจากความเสี่ยงคุณภาพหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคธนาคาร ทำให้เศรษฐกิจจีนอาจฟื้นกลับมาไม่ได้หรือฟื้นกลับมาแล้วไม่ดี แต่หากเศรษฐกิจจีนฟื้นกลับมาได้ชัดเจน จะมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ต่อไป
ดังนั้น คงต้องตั้งความหวังไว้ปีหน้าว่าจีนจะกลับมาเปิดเมืองได้มากน้อยแค่ไหน และยังต้องจับตาความเสี่ยงว่าจะดึงให้เศรษฐกิจจีนแผ่วลงอีกหรือไม่ ขณะเดียวกันปีหน้าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงภาวะถดถอย ยังเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน
คาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจจีนปีหน้า น่าจะปรับตัวดีขึ้นกลับไปใกล้เคียงเดิมที่ระดับ 3-4% จากปีนี้คาดขยายตัวที่ 2-3%ต่ำกว่าเดิมคาดไว้ขยายตัว 5%เป็นผลจากมาตรการซีโร่โควิดและเผชิญหลายความเสี่ยงรุมเร้า

นายพิพัฒน์ กล่าวว่าเศรษฐกิจจีนในปีหน้าคงหวังไม่ได้มากที่จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยมาก เพราะคาดว่าจีนจะสามารถเปิดเมืองได้คงช่วงปลายปีหน้า ทำให้บทบาทนักท่องเที่ยวจีนต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคงไม่มีมากนัก คงต้องรอในปีถัดไป ดังนั้นภาคท่องเที่ยวของไทย ต้องหันมาพึ่งตลาดสำคัญของไทยในปีนี้ต่อ เช่น ยุโรป อาเซียน และตลาดใหม่ เช่น อินเดีย

ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีหน้า มองว่า ฟื้นตัวกลับมาได้จากฐานต่ำในปีนี้ ดังนั้นหากจีนกลับมาเปิดเมืองได้มองว่าเป็นแค่อัพไซด์เพิ่มในช่วงปลายปีหน้เท่านั้น
ในส่วนภาคส่งออกของไทย ในปีหน้ามีโอกาสเห็นการหดตัวได้จากฐานสูงปีนี้และเผชิญความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโลก ชะลอตัว และน่าจะกระทบหนักหากเศรษฐกิจจีนมีปัญหาอีก มองว่า ในภาคส่งออกที่ยังสามารถหาตลาดใหม่ได้ คงต้องทำต่อเนื่อง อาจมาชดเชยตลาดจีนที่ชะลอตัวได้บ้าง ยอมรับว่าส่วนหนึ่งอยู่ในซัพพายเชนของจีนคงกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ คงต้องแก้ปัญหากันไป
ขณะเดียวกันต้องหันมามุ่งเพิ่มหรือรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างไรต่อไป เช่น ต้องมีการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ในส่วนไหนบ้าง เพราะอุตสาหกรรมส่งออกสำคัญของไทย อย่างอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ ในช่วงหลังประเทศเพื่อนบ้านเริ่มเก่งกว่าและมีการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวเข้ามาทดแทน

ทางด้านการลงทุนในตลาดหุ้นจีนนั้น นายพิพัฒน์ มองว่า ตอนนี้เรายังค่อนข้างระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เพราะยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงและยังมีความไม่ชัดเจนในหลายเรื่อง
แนะนำว่า ช่วงนี้คงเฝ้ารอดูไปก่อน จนกว่า นโยบายสี จิ้นผิง สมัยที่ 3 จะมีความชัดเจนว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาเติบโตในปีหน้าได้อย่างไร มาตรการซีโร่โควิดจะผ่อนคลายได้มากน้อยแค่ไหน และความเสี่ยงภาคอสังหาฯและธนาคารจะสามารถแก้ไขปัญหาไปได้มากน้อยแค่ไหน

 

ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย และไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนมากเป็นลำดับต้น ดังนั้นหากเศรษฐกิจจีนมีปัญหาก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเช่นกัน 
ทั้งนี้ในปี 2565 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ไม่ถึง 5.5% ตามที่รัฐบาลจีนได้ประกาศเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ เนื่องจากจีนยังคงมีปัญหาในเรื่องภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการแก้ปัญหาเรื่องของฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันยังมีการใช้นโยบาย Zero Covid เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัดทำให้เศรษฐกิจภายในได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์พื้นที่เศรษฐกิจหลายแห่ง 
ส่วนในปี 2566 นั้นทั้งเศรษฐกิจของจีนและเศรษฐกิจโลกนั้นยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกที่พึ่งพาสัดส่วนการส่งออกค่อนข้างมากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นที่จะ ต้องเร่งหาตลาดส่งออกสินค้าในประเทศหรือภูมิภาคอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งตลาดส่งออกที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าของประเทศไทยไปยังตลาดโลกเพิ่มขึ้น

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดช่องสำหรับวาระการดำรงตำแหน่งที่มากกว่า 2 สมัยให้กับนาย สี จิ้นผิง ได้เป็นผู้นำต่อไป จะเป็นผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจไทยด้วย เพราะแนวนโยบายต่างๆ ยังคงดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ประกอบกับไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน และโดดเด่นเป็นอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งหลายครั้งที่เมื่อไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ จีนจะมีบทบาทให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในฐานะมหามิตรประเทศอยู่เสมอ